อุตสาหกรรมคริปโตกำลังอยู่ระหว่างการ ‘เปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจ’ ครั้งสำคัญ โดยศูนย์กลางที่เคยอยู่ในมือของ *แพลตฟอร์มซื้อขาย* และ *หน่วยงานกำกับดูแล* กำลังถูกแทนที่ด้วยกลไกใหม่ทั้ง 5 แกน ได้แก่ ‘สเตเบิลคอยน์’, ‘กองทุน ETF’, ‘การอัปเกรดเทคโนโลยีเบสเลเยอร์’, ‘ตลาดความปลอดภัยของบล็อกสเปซ’, และ ‘สภาพแวดล้อมการประมวลผลขั้นสูง’ ซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญต่อทิศทางของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในปี 2024 เป็นต้นมา
ในด้านการเงิน ‘สเตเบิลคอยน์’ กลายเป็นทางเลือกชำระเงินที่รวดเร็วที่สุดในรูปแบบของดอลลาร์ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่เริ่มมีการนำกฎหมาย GENIUS มาใช้ควบคุมโครงสร้างของสเตเบิลคอยน์ภายใต้กรอบกฎหมายกลาง นับเป็นความคืบหน้าจากอดีตที่ขาดความชัดเจนด้านกฎระเบียบ ขณะเดียวกัน ‘บิตคอยน์ ETF’ ก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยกองทุน IBIT ของแบล็คร็อก(BLK) มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารทะลุ 8.5 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 1.18 ล้านล้านบาท พร้อมทำหน้าที่เป็นสะพานสู่เงินทุนจากสถาบันขนาดใหญ่
ด้านเทคโนโลยีก็เกิดการขยับขยายเช่นกัน อีเธอเรียม(ETH) กำลังเตรียมเปิดตัว ‘อัปเกรด Pectra’ ที่จะยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้งานกระเป๋าเงินดิจิทัลอย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกัน โซลานา(SOL) ก็กำลังจะเปิดใช้งานคลไคลเอนต์ Firedancer ซึ่งให้ประสิทธิภาพระดับสูงกว่าเดิมหลายเท่า ฟากของ EigenLayer เองก็กำลังก่อร่างสร้าง *ตลาดให้เช่าความปลอดภัย (Security-as-a-Service)* โดยใช้การวางเงินเดิมพันอีเธอเรียมเป็นฐาน รองรับโมเดลกระจายศูนย์ในรูปแบบใหม่ที่ไม่เพียงแค่จ่ายผลตอบแทน แต่สร้างแรงจูงใจทางความปลอดภัยให้กับโครงสร้างโปรโตคอล
ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านนี้ การขัดแย้งเชิงอำนาจระหว่าง ‘แพลตฟอร์มซื้อขาย’ กับ ‘หน่วยงานกำกับดูแล’ ได้ลดความสำคัญลงอย่างชัดเจน แทนที่ด้วยกลไกทั้ง 5 ที่กล่าวมาซึ่งมีอิทธิพลโดยตรงต่อการไหลเวียนของเงินทุน การจัดสรรพื้นที่บล็อก และเหนือสิ่งอื่นใดคือ *ความสามารถในการชี้ชะตาอนาคตของชุมชนผู้ใช้ผ่านโร้ดแมปที่จับต้องได้*
หนึ่งในบุคคลสำคัญที่กำลังเปลี่ยนเกมนี้คือ แล็ร์รี ฟิงก์(Larry Fink) ซีอีโอของแบล็คร็อก ไม่เพียงเป็นผู้นำเบื้องหลังกองทุน IBIT ซึ่งขึ้นแท่นเป็น ETF บิตคอยน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเท่านั้น แต่ยังผลักดัน BUIDL กองทุนเงินสดแบบโทเคนไรซ์สู่ตลาดสถาบัน โดยกระจายการใช้งานออกไปบนหลายช่องทางบล็อกเชน ไม่ผูกติดกับเครือข่ายใดเครือข่ายหนึ่งอีกต่อไป
นอกจากนี้ ฟิงก์ยังอยู่ระหว่างพิจารณาเปิดตัว ETF ที่อิงกับสินทรัพย์คริปโตอื่น ๆ นอกเหนือจากบิตคอยน์และอีเธอเรียม ส่งสัญญาณถึงการยกระดับบทบาทจากผู้จัดการกองทุนแบบดั้งเดิมสู่การเป็น *ผู้ออกแบบระบบนิเวศคริปโต* อย่างเต็มรูปแบบ
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า ‘แผนที่อำนาจ’ ของอุตสาหกรรมคริปโตในปัจจุบันไม่ได้อยู่ที่ใครควบคุมตลาด แต่ขึ้นอยู่กับว่าใครควบคุม *สภาพคล่อง*, *การเข้าถึงตลาดทุน*, *ความสามารถด้านเทคโนโลยีของโปรโตคอล*, *โมเดลความปลอดภัยแบบกระจายศูนย์*, และ *ประสิทธิภาพในการประมวลผล* ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้จะกลายเป็น *คีย์เวิร์ดสำคัญ* ในการวางกลยุทธ์สำหรับผู้ที่ต้องการอยู่รอดและเติบโตในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลยุคใหม่
ความคิดเห็น 0