ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจกำลังพิจารณานำ ‘ภารกิจที่สาม’ มาใช้จริงจัง ซึ่งอาจส่งผลให้ภูมิทัศน์ของนโยบายการเงินในระยะยาวเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยการเปลี่ยนแปลงนี้อาจสร้างผลกระทบในทางลบต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ แต่กลับกันอาจเป็นปัจจัยบวกสำหรับตลาดคริปโตเคอร์เรนซี
ในปัจจุบัน เฟดมีภารกิจหลักสองด้านคือ ‘การควบคุมเงินเฟ้อ’ และ ‘การสร้างการจ้างงานสูงสุด’ อย่างไรก็ตาม เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา สตีเวน มิแรน(Stephen Miran) หนึ่งในผู้ที่ประธานาธิบดีทรัมป์เสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการเฟด ได้ให้สัมภาษณ์โดยกล่าวถึงภารกิจเพิ่มเติมที่ถูกละเลยมายาวนาน นั่นคือ ‘การรักษาอัตราดอกเบี้ยระยะยาวให้อยู่ในระดับที่พอเหมาะ’
แม้ข้อกำหนดนี้จะระบุไว้อย่างชัดเจนในกฎหมายจัดตั้งเฟด แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ค่อยได้รับความสนใจในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ฝ่ายบริหารของทรัมป์ดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับข้อนี้ และอาจนำไปใช้เป็น ‘เครื่องมือทางกฎหมาย’ เพื่อสนับสนุนการแทรกแซงตลาดพันธบัตรมากขึ้น โดยรายงานจาก Bloomberg เมื่อวันที่ 24 ระบุว่า ค่ายทรัมป์อาจใช้ภารกิจดังกล่าวเป็นข้ออ้างในการควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทนของพันธบัตร พร้อมทั้งเดินหน้า ‘ขยายมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ’ (QE) และเพิ่ม ‘การอัดฉีดสภาพคล่อง’ เข้าสู่ตลาด
กระบวนการปรับลดดอกเบี้ยแบบแทรกแซง หรือปล่อยให้ปริมาณเงินในระบบเพิ่มขึ้น อาจส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์เผชิญกับ ‘แรงกดดันด้านเงินเฟ้อ’ มากขึ้น อย่างไรก็ตาม สินทรัพย์ทางเลือกอย่าง *บิตคอยน์(BTC)* ซึ่งถูกมองว่าเป็นเครื่องมือรักษามูลค่า อาจได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้น โดยมีความเห็นว่าตลาดอาจเกิดความปั่นป่วนในช่วงสั้น แต่ในระยะยาว ‘ความต้องการสินทรัพย์คริปโต’ อาจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
บางฝ่ายยังมองว่าการเดินหน้าผลักดันนโยบายนี้ของทรัมป์ อาจเป็นความพยายามของแวดวงการเมืองในการแทรกแซงการดำเนินงานของเฟดมากขึ้น ซึ่งสั่นคลอนหลักการ ‘ความเป็นกลางทางการเมือง’ และ ‘ความเป็นอิสระของธนาคารกลาง’
ประเด็นนี้ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงด้านนโยบาย แต่สะท้อนถึง ‘การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ของระเบียบการเงินโลก’ นักลงทุนควรจับตาทิศทางนโยบายเศรษฐกิจของฝ่ายทรัมป์ รวมถึงการสรรหาคณะกรรมการเฟดในอนาคตอย่างใกล้ชิด ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านนี้ ตลาดคริปโตกลับกลายเป็นจุดโฟกัสที่สะท้อนบทบาทและความสำคัญในยุคใหม่ได้อย่างชัดเจน
ความคิดเห็น 0