การตัดสินใจของรัฐบาลเวียดนามในการระงับบัญชีธนาคารกว่า 86 ล้านบัญชีที่ยังไม่ผ่านการยืนยันตัวตนด้วย ‘ใบหน้า’ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์ร้อนระอุในหมู่ผู้สนับสนุน *บิตคอยน์(BTC)* อีกระลอก ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น เวียดนามมีบัญชีธนาคารทั้งสิ้นราว 199 ล้านบัญชี โดยมีเพียง 113 ล้านบัญชีที่ผ่านเกณฑ์ยืนยันตัวตนใหม่ตามกฎระเบียบที่รัฐกำหนด ส่วนที่เหลืออีก 86 ล้านบัญชีที่ไม่ผ่านการยืนยันแบบชีวมิติถือเป็นบัญชีที่ต้องถูกปิด
มาตรการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแผนปราบปรามการฉ้อโกงและฟอกเงินผ่านระบบธนาคาร โดยเน้นให้ผู้ใช้ต้องยืนยันตัวตนจริง อย่างไรก็ตาม นโยบายนี้กลับสร้างปัญหาให้กับชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่นอกประเทศ รวมถึงผู้ใช้หลายรายที่ไม่สามารถอัปเดตการยืนยันตัวตนจากระยะไกลได้ หนึ่งในผู้ใช้งาน Reddit ที่ใช้ชื่อว่า ‘Yukzor’ เปิดเผยว่าเขาเป็นชาวต่างชาติที่เคยทำงานเป็นผู้รับจ้างในเวียดนามและมีบัญชีกับธนาคารเอชเอสบีซี ซึ่งขณะนี้กำลังเผชิญปัญหาบัญชีถูกปิดโดยไม่มีช่องทางแก้ปัญหาออนไลน์
เขาแสดงความไม่พอใจว่า “มันสมเหตุสมผลหรือไม่ ที่ในปี 2025 เราจะไม่สามารถเข้าถึงบัญชีตัวเองได้ และต้องบินไปถึงประเทศนั้นเพื่อจัดการปัญหา?” เขายังเสริมว่า หากไม่รีบดำเนินการภายในเดือนนี้ บัญชีของเขาจะถูกปิดถาวร
เหตุการณ์นี้ตอกย้ำแนวคิดที่เหล่าผู้สนับสนุน *บิตคอยน์(BTC)* ย้ำมาตลอดเกี่ยวกับ ‘การครอบครองสินทรัพย์อย่างอิสระ’ โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบธนาคารกลาง นักวิเคราะห์ด้านสินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง มาร์ตี เบนต์(Marty Bent) ระบุผ่านแพลตฟอร์ม X (เดิมคือทวิตเตอร์) ว่า “หากไม่ยืนยันตัวตนให้เสร็จภายในวันที่ 30 กันยายน ทรัพย์สินของผู้ใช้ก็จะหายไป นี่คือเหตุผลที่เราจำเป็นต้องใช้ *บิตคอยน์*”
ขณะเดียวกัน ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนจากทางการหรือตัวแทนธนาคารว่า จะสามารถกู้คืนเงินจากบัญชีที่ถูกปิดหลังวันที่ 30 กันยายนได้หรือไม่ ส่งผลให้ความวิตกของผู้ใช้งานยังคงสูง เวียดนามจึงกลายเป็นหนึ่งในตัวอย่างชัดเจนที่แสดงให้เห็นถึง ‘การควบคุมทางการเงินโดยรัฐ’ ซึ่งสามารถจำกัดการเข้าถึงสินทรัพย์ส่วนบุคคลโดยตรง และย้ำเตือนถึงความสำคัญของหลักการ ‘ต้านทานการเซ็นเซอร์’ อันเป็นหัวใจของ *คริปโตเคอร์เรนซี*
ความคิดเห็น 0