บริษัทจัดการสินทรัพย์สัญชาติอเมริกัน 'แวนเอ็ก(VanEck)' ได้เผยแพร่รายงานวิเคราะห์เกี่ยวกับผลกระทบของ ‘บิตคอยน์(BTC) สำรอง’ ต่อการลดหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยในรายงานระบุว่า หากรัฐบาลสหรัฐฯ สะสมบิตคอยน์จำนวน 1 ล้าน BTC ภายในปี 2029 และราคาของบิตคอยน์เติบโตเฉลี่ย 25% ต่อปีเป็นเวลา 25 ปี สหรัฐฯ อาจสามารถลดหนี้ของประเทศลงได้มากถึง 21 ล้านล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3.24 แสนล้านล้านวอน) ภายในปี 2049
แมทธิว ซีเกล(Matthew Sigel) หัวหน้าฝ่ายวิจัยสินทรัพย์ดิจิทัลของแวนเอ็ก กล่าวว่า “การสะสมบิตคอยน์อย่างมียุทธศาสตร์สามารถส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในระยะยาว” รายงานดังกล่าวยังคาดการณ์ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่ามีหนี้สาธารณะสูงถึง 36 ล้านล้านดอลลาร์ (ประมาณ 5.18 แสนล้านล้านวอน) ภายในต้นปี 2025 และจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5% ต่อปี อาจมีภาระหนี้สินสูงถึง 116 ล้านล้านดอลลาร์ (ประมาณ 16.7 แสนล้านล้านวอน) ภายในปี 2049 แวนเอ็กเชื่อว่า หากในเวลานั้นราคาของบิตคอยน์พุ่งขึ้นไปถึง 21 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 302.4 พันล้านวอน) อาจช่วยผ่อนคลายแรงกดดันด้านการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้
แนวโน้มนี้เป็นไปในทิศทางเดียวกับร่างกฎหมาย ‘BITCOIN Act’ ซึ่งเสนอโดยวุฒิสมาชิกซินเธีย ลูมมิส(Senator Cynthia Lummis) จากพรรครีพับลิกัน ซึ่งมุ่งเน้นให้รัฐบาลสหรัฐฯ นำบิตคอยน์มาใช้เป็นสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ของชาติ โดยเธอกล่าวว่า “เราควรใช้บิตคอยน์ให้เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศ”
นอกจากนี้ แนวคิดการใช้บิตคอยน์เป็น ‘สินทรัพย์สำรองของรัฐ’ ยังได้รับการพิจารณาในหลายประเทศ นอกจากสหรัฐฯ แล้ว มาเรีย โครินา มาชาโด(María Corina Machado) ผู้นำฝ่ายค้านของเวเนซุเอลา ได้เสนอให้ใช้บิตคอยน์เป็นสินทรัพย์ของชาติ ขณะที่สวิตเซอร์แลนด์และฮ่องกงกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการบูรณาการสกุลเงินดิจิทัลเข้ากับระบบธนาคารกลาง อย่างไรก็ตาม อาเธอร์ เฮย์ส(Arthur Hayes) ผู้ร่วมก่อตั้งบิทเม็กซ์(BitMEX) ได้แสดงความเห็นคัดค้านว่า “การใช้บิตคอยน์เพื่อลดหนี้สาธารณะเป็นเพียงข้ออ้างทางการเมือง และแทบไม่มีความเกี่ยวข้องกับเสถียรภาพทางการเงินในความเป็นจริง”
แม้ว่าทิศทางราคาของบิตคอยน์ในระยะยาวจะยังไม่แน่นอน แต่การที่รัฐบาลหลายประเทศเริ่มให้ความสนใจต่อสกุลเงินดิจิทัลมากขึ้น อาจทำให้เกิดการถกเถียงเกี่ยวกับบทบาทของบิตคอยน์ในเศรษฐกิจโลกอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น
ความคิดเห็น 0