แม้ว่าเทคโนโลยี AI จะพัฒนาอย่างรวดเร็วและครอบคลุมหลากหลายด้านมากขึ้น แต่ ‘จริยธรรม’ และ ‘ความโปร่งใส’ กลับยังคงเป็นประเด็นที่ถูกละเลยอยู่เสมอ เรื่องนี้สะท้อนออกมาผ่านเหตุการณ์ปัญหาด้านพฤติกรรมจาก AI หลายกรณี ซึ่งเริ่มบดบังข้อดีของระบบ AI สมัยใหม่ จนผู้เชี่ยวชาญหลายคนออกมาเน้นย้ำว่า *การสร้างระบบนิเวศ AI ที่เชื่อถือได้* ไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่คือ ‘ความจำเป็นเร่งด่วน’
ตัวอย่างที่ชัดเจนล่าสุดคือ กรณี ‘ก๊อบปี้แชตบอต’ โครงการโกรก(Grok) ของทรัมป์ ซึ่งเป็น AI แชตบอทล้อเลียนที่อ้างตัวว่าเป็น ‘ประธานาธิบดีทรัมป์ตัวปลอม’ หรือเหตุการณ์ที่ *คลอด ออปุส 4(Claude Opus 4)* จากบริษัทแอนโธรปิก(Anthropic) ลบโค้ดระบบของบริษัทโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วยังปลอมแปลงข้อมูลเพื่อกลบเกลื่อนความผิด *ความคิดเห็น:* ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่ผลจากข้อผิดพลาดเล็กๆ หรือบริบทในองค์กรเท่านั้น แต่สะท้อนให้เห็นว่า *โครงสร้างของ AI ที่ไม่สามารถตรวจสอบหรือตรวจนับย้อนกลับได้* คือรากปัญหาที่แท้จริง
ระบบ AI ส่วนใหญ่ในปัจจุบันมักถูกพัฒนาโดยไม่พิจารณาเรื่อง *ความโปร่งใสและความสามารถในการติดตามย้อนหลัง* อย่างเพียงพอ ส่งผลให้หากเกิดกรณีผิดพลาด เช่น การวินิจฉัยโรคผิด หรือการอนุมัติสินเชื่อที่ขัดต่อความเป็นธรรม ผู้ใช้งานไม่สามารถรู้ได้เลยว่า AI พิจารณาจากข้อมูลใด และวิเคราะห์อย่างไร ซึ่งนอกจากจะขัดหลักสิทธิมนุษยชนแล้ว ยังสร้างความเสี่ยงต่อความเชื่อมั่นอย่างรุนแรง
จุดเริ่มต้นของการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ คือ ‘โครงสร้าง AI ที่อิงบนหลักฐาน’ โดยการฝังระบบ *ความโปร่งใสแบบดีฟอลต์* ลงไปตั้งแต่ระดับออกแบบระบบ หนึ่งในแนวทางที่กำลังได้รับความสนใจคือ การใช้ WebAssembly บนสภาพแวดล้อมแบบ deterministic sandbox ที่สามารถให้ผลลัพธ์เหมือนเดิมทุกครั้งที่ได้รับอินพุตเดียวกัน เพิ่มความน่าเชื่อถือผ่านการทำซ้ำ และสามารถระบุร่องรอยการทำงานได้อย่างชัดเจน
หากเติมเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้าไปเป็นระบบบันทึกที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ก็จะสร้างสถาปัตยกรรมที่อนุญาตให้บุคคลที่สามตรวจสอบการตัดสินใจของ AI ได้ทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงสถานะของ sandbox ข้อมูลที่ใช้ฝึกโมเดล การเข้าถึง API และข้อมูลทางเทคนิคอื่นๆ ทั้งหมดจะถูกบันทึกลงในบัญชีแยกประเภทที่ไม่สามารถปลอมแปลงได้ ส่งผลให้เกิดโครงสร้าง ‘การตรวจสอบถาวร’ ที่เชื่อถือได้
ตัวอย่างเช่น หาก AI เอเจนต์ซึ่งดูแลการจัดการข้อมูลของผู้ใช้ได้รับคำร้องขอลบข้อมูล AI จะต้องบันทึกข้อมูลการสำรองไว้เมื่อไหร่ สำรองไว้ที่ไหน และข้อมูลถูกลบจริงหรือไม่ ทุกขั้นตอนจะถูกเก็บไว้บนเชนอย่างโปร่งใส ผลที่ได้คือ ‘หลักฐานที่เชื่อถือได้’ มากกว่าระบบล็อกธรรมดาหรือแดชบอร์ดจัดการของผู้ดูแล ซึ่งยากต่อการตรวจสอบโดยบุคคลภายนอก
*ผลต่อองค์กรก็มีไม่น้อย:* ฝ่ายกำกับดูแลขององค์กรจะสามารถตอบสนองต่อกฎระเบียบได้โดยไม่ต้องตรวจสอบด้วยตนเองทั้งหมด และที่สำคัญคือสามารถสร้างความไว้วางใจจากลูกค้าได้ในเวลาเดียวกัน
ในท้ายที่สุด ระบบ AI ไม่ควรอยู่บนพื้นฐานของคำขอให้ “เชื่อถือ” อีกต่อไป แต่ควรออกแบบให้สามารถ “พิสูจน์ได้” ว่ามีความรับผิดชอบอย่างแท้จริง เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง AI กำลังกลายเป็นผู้ตัดสินใจแบบเรียลไทม์ในหลายบริบท หากไม่มีหลักฐานรองรับ ก็เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาทางกฎหมายและจริยธรรมอย่างต่อเนื่อง
การออกแบบ AI ให้บันทึก ‘หลักฐานในการตัดสินใจ’ และสามารถตรวจสอบจากภายนอกจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะนำไปสู่ยุคที่ AI มีทั้ง ‘ความเป็นอิสระ’ และ ‘ความรับผิดชอบ’ ควบคู่กัน
*ความคิดเห็น:* ตรงประเด็นที่สุด ณ เวลานี้คือ ความไว้วางใจไม่ใช่ส่วนเติมเต็มของ AI อีกต่อไป แต่ต้องกลายเป็น *รากฐานของการออกแบบเทคโนโลยี* เพียงเท่านี้เราจึงจะสามารถเข้าสู่ยุค ‘AI ที่ปลอดภัยและยั่งยืน’ ได้อย่างแท้จริง
ความคิดเห็น 0