ตลาดคริปโตเผชิญกับแรงเทขายอย่างหนักในวันที่ 26 ซึ่งส่งผลให้สินทรัพย์ดิจิทัลหลักหลายสกุลปรับตัวลงอย่างรุนแรง บิตคอยน์(BTC) ร่วงลง 14% ภายในวันเดียว หลุดระดับ 92,000 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่พฤศจิกายนปีที่แล้ว ขณะที่เหรียญสำคัญอื่นๆ เช่น โซลานา(SOL), ดอจคอยน์(DOGE), ริปเปิล(XRP) และอีเธอเรียม(ETH) ก็ปรับตัวลงตามกันไป นักวิเคราะห์มองว่าการปรับฐานครั้งนี้เกิดจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมหภาคและการลดลงของความเชื่อมั่นนักลงทุน
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นความกังวลของตลาด คือการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศกลับมาเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโกมูลค่า 900,000 ล้านดอลลาร์ ที่อัตรา 25% ซึ่งสร้างแรงกระเพื่อมต่อนักลงทุน เนื่องจากตลาดมองว่านโยบายดังกล่าวอาจเป็นตัวเร่งเงินเฟ้อ ส่งผลให้ความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มสูงขึ้น ท่ามกลางแรงกดดันดังกล่าว บิตคอยน์ร่วงต่ำกว่าระดับ 95,000 ดอลลาร์ ขณะที่อีเธอเรียมหลุดแนวรับ 2,500 ดอลลาร์
นอกจากนี้ แรงขายยังได้รับแรงหนุนจากคำสั่งบังคับขาย(liquidation) ที่มูลค่ารวมกว่า 950 ล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงตลาดสเตเบิลคอยน์ด้วย ปรากฏการณ์นี้ยิ่งทำให้ตลาดเผชิญกับแรงกดดันจากการขายเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเอลซัลวาดอร์ยังคงเดินหน้าซื้อบิตคอยน์เพิ่มเติม โดยเสริมพอร์ตอีก 7 BTC หลังจากหยุดชั่วคราวไปหนึ่งสัปดาห์ ทำให้ปัจจุบันเอลซัลวาดอร์ถือครองบิตคอยน์รวม 6,088 BTC
ในส่วนของเหตุการณ์แฮ็กที่กระทบบายบิท(Bybit) แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโต decentralized อย่างเชนฟลิป(Chainflip) ประกาศว่าสามารถระงับการเคลื่อนย้ายเงินที่เกี่ยวข้องกับการโจมตีได้ พร้อมย้ำว่าทำงานร่วมกับชุมชนและผู้มีส่วนได้เสียเพื่อเสริมมาตรการความปลอดภัย
สำหรับแนวโน้มตลาดในระยะสั้น ความเห็นนักวิเคราะห์ยังคงแบ่งเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งมองว่าหากธนาคารกลางสหรัฐ(Fed) เปลี่ยนนโยบาย อาจช่วยให้ตลาดฟื้นตัวได้ แต่ในระยะสั้น แรงกดดันยังคงมีอยู่และอาจส่งผลให้ราคาคริปโตยังคงเผชิญกับความผันผวนต่อไป
ความคิดเห็น 0