บิตคอยน์(BTC) แม้ได้รับทั้งเสียงชื่นชมและวิพากษ์วิจารณ์นับตั้งแต่เกิดบล็อกแรกในปี 2009 แต่ปัจจุบันได้กลายมาเป็นศูนย์กลางของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไปแล้ว โดยเฉพาะเมื่อวันที่บิตคอยน์มีมูลค่าเท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 1,390 วอน) ครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ 2011 และพุ่งขึ้นถึง 31 ดอลลาร์ (ประมาณ 43,090 วอน) ภายในเดือนมิถุนายน ก่อนร่วงลงเหลือ 2 ดอลลาร์ (ประมาณ 2,780 วอน) จุดนั้นเองที่กระตุ้นข้อถกเถียงเกี่ยวกับ ‘ภาวะฟองสบู่’ ครั้งแรกของบิตคอยน์
การเติบโตอย่างก้าวกระโดดนี้ทำให้บิตคอยน์ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก จนในเดือนมีนาคม 2013 มูลค่ารวมในตลาด (Market Cap) ของบิตคอยน์ทะลุ 1 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.39 ล้านล้านวอน) และภายในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน ราคาทะลุ 1,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.39 ล้านวอน) บ่งบอกถึงการเปลี่ยนผ่านสู่สถานะ ‘สินทรัพย์การลงทุนระดับโลก’
เบื้องหลังความเปลี่ยนแปลงนี้ มีพี่น้อง คาเมรอน วิงเคิลวอสส์(Cameron Winklevoss) และ ไทเลอร์ วิงเคิลวอสส์(Tyler Winklevoss) เป็นผู้ขับเคลื่อนสำคัญ ทั้งคู่เริ่มเป็นที่รู้จักจากคดีฟ้องร้องกับมาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก ผู้ร่วมก่อตั้งเฟซบุ๊ก ก่อนผันตัวเป็นนักลงทุนยุคแรกของคริปโต และต่อมาร่วมกันก่อตั้ง ‘เจมิไน(Gemini)’ หนึ่งในแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตแบบมีการควบคุมที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดในนิวยอร์ก
พี่น้องวิงเคิลวอสส์เคยมองว่าบิตคอยน์คือ ‘ทองคำ 2.0’ เพราะมีคุณสมบัติที่เหนือกว่าทองคำในหลายด้าน ทั้ง ‘ปริมาณที่จำกัด’, ‘ความสามารถในการเคลื่อนย้ายและเก็บรักษา’, และ ‘การป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ’ ความเชื่อนี้นำไปสู่การเปิดตัวเจมิไนในปี 2014 ขณะที่บิตคอยน์มีราคาราว 380 ดอลลาร์ (ประมาณ 528,200 วอน) เจมิไนได้ขยายบริการอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ระบบดูแลคริปโตสำหรับสถาบัน, สเตเบิลคอยน์ ‘เจมิไน ดอลลาร์(GUSD)’, ไปจนถึง ‘บัตรเครดิตสะสมคริปโต’
ความเคลื่อนไหวของบริษัทสะดุดตาที่สุดคือการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก โดยเปิดตัวที่ราคา 37.01 ดอลลาร์ (ประมาณ 51,430 วอน) สูงกว่าราคาเสนอขายเบื้องต้น (IPO) ที่ 28 ดอลลาร์ (ประมาณ 38,920 วอน) โดยสามารถระดมทุนได้กว่า 425 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 5.9 พันล้านวอน) พร้อมกระแสตอบรับจากตลาดที่ดีเยี่ยม
วิสัยทัศน์ของวิงเคิลวอสส์ยังคงมั่นคง พวกเขามองว่าการเข้าสู่ตลาด ETF, ความสัมพันธ์กับราคาทองคำ และการนำไปใช้ในระดับประเทศ สามารถส่งผลให้ราคาบิตคอยน์แตะ ‘100 ล้านวอน’ หรือ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 13.9 พันล้านวอน) ได้ในอนาคต พวกเขาเปรียบเทียบสถานะของบิตคอยน์ในปัจจุบันเหมือนกับ ‘ยุคเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ต’ และชี้ว่าอาจกำลังวิวัฒน์ไปสู่ ‘สกุลเงินระดับโลก’
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วย ผู้เชี่ยวชาญบางรายให้ความเห็นว่า การผันผวนของราคา และกำแพงด้านกฎระเบียบ ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ ซึ่งทำให้คาดการณ์ที่บิตคอยน์จะถึงราคาหนึ่งล้านดอลลาร์ดู ‘เป็นการเก็งกำไรเกินจริง’
แม้อย่างนั้น บิตคอยน์ยังคงพิสูจน์ตัวเองในฐานะ ‘สินทรัพย์แห่งอนาคต’ ที่ทั้งแวดวงการเงินและนักลงทุนทั่วโลกยังให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง
ความคิดเห็น 0