ตลาดคริปโตในปี 2025 กำลังก้าวเข้าสู่ยุคแห่ง *โครงสร้างที่มีความเป็นระบบและพร้อมสำหรับสถาบันการเงิน* มากยิ่งขึ้น ตามรายงานล่าสุดจาก *ไคโค่ รีเสิร์ช(Kaiko Research)* ที่วิเคราะห์สภาพคล่องและความสามารถในการยอมรับของสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างครอบคลุม โดยการประเมินสินทรัพย์ในครั้งนี้ไม่ได้จำกัดเพียงตัวชี้วัดดั้งเดิมอย่าง *ปริมาณการซื้อขาย*, *มูลค่าตลาด* หรือ *ความลึกของตลาด* แต่ยังรวมถึง *ความพร้อมใช้งาน*, *ระดับความมั่นคงในการจัดเก็บ* และ *ความสุกงอมของตลาด* ด้วย ทั้งนี้ ‘บิตคอยน์(BTC)’ ยังคงครองอันดับหนึ่งโดยได้รับคะแนนระดับ ‘AAA’ เพียงเหรียญเดียว ขณะที่ ‘อีเธอเรียม(ETH)’ และ ‘ริปเปิล(XRP)’ ได้ครองอันดับ 2 ร่วมกัน
การจัดอันดับครั้งนี้ไม่ได้ดูแค่ด้านสภาพคล่องเพียงอย่างเดียว แต่ยังคำนึงถึง *ศักยภาพในการเข้าสู่ระบบการเงินแบบดั้งเดิม* และ *ความสามารถในการรองรับเม็ดเงินระยะยาวของตลาด* โดยในกลุ่มนี้ บิตคอยน์โดดเด่นเป็นพิเศษจากทุกมุมมอง ไม่ว่าจะเป็นปริมาณการซื้อขาย, ความลึกของตลาด และความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ (Derivatives) ปัจจุบัน บิตคอยน์มีสถานะเปิดสัญญาฟิวเจอร์สแบบถาวรรวมมูลค่าราว 35,000 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น *68% ของมูลค่าการซื้อขายในตลาดอนุพันธ์คริปโตทั้งหมด* แสดงให้เห็นถึงบทบาทของบิตคอยน์ในฐานะผู้นำทางเงินทุนและสภาพคล่องในตลาดอย่างแท้จริง
อีเธอเรียมและริปเปิลที่ติดอันดับ 2 ร่วม สะท้อนให้เห็นถึง *ศักยภาพด้านสภาพคล่องและการซื้อขาย ที่แข่งขันสูง* ทั้งคู่ได้คะแนนรวม 95 คะแนน ใกล้เคียงกับบิตคอยน์ แม้จะเป็นรองในบางตัวชี้วัด ขณะเดียวกัน ‘โซลานา(SOL)’ แม้จะมีมูลค่าตลาดต่ำกว่าริปเปิล แต่กลับมีระดับสภาพคล่องใกล้เคียง ซึ่งแสดงถึง *แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของตลาด*ได้อย่างชัดเจน
ด้านสินทรัพย์ประเภท ‘มีม’ อย่าง ‘โดจคอยน์(DOGE)’ ยังคงสามารถติดอันดับ Top 10 ได้ แม้ว่าจะมีระดับความสุกงอมของเทคโนโลยีและระบบนิเวศที่ต่ำกว่าเหรียญหลักอื่น ๆ แต่ยังคงรักษาปริมาณการซื้อขายและสภาพคล่องได้ดี ซึ่ง *ความคิดเห็น* คือแม้เป็นคริปโตสายบันเทิง แต่ความนิยมและการเข้าถึงกลับผลักดันให้มันยังคงอยู่ในตลาดหลัก
ในด้านความลึกของตลาด บิตคอยน์ครองตำแหน่งผู้นำอีกครั้ง โดยมี ‘2% Market Depth’ อยู่ที่ประมาณ 15-20 ล้านดอลลาร์ ขณะที่อีเธอเรียมอยู่ที่ 10-15 ล้านดอลลาร์ ส่วน XRP, SOL และ DOGE มีความลึกของตลาดต่ำกว่า 7 ล้านดอลลาร์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงโครงสร้างแบบ ‘สองชั้น’ ของสภาพคล่องในตลาดคริปโตปัจจุบัน ในรายงานระบุว่า *เหรียญหลักมีโครงสร้างที่มั่นคงและเหมาะต่อการนำไปใช้ในตลาดสถาบัน* ในขณะที่สินทรัพย์รองยังต้องผ่านการพัฒนา
นอกจากนี้ ความพร้อมของ ‘ผลิตภัณฑ์ลงทุน’ ก็กลายเป็นเกณฑ์สำคัญในการจัดอันดับ บิตคอยน์และอีเธอเรียมมีโปรดักต์อย่าง ETF, ฟิวเจอร์ส และออปชันในตลาดที่ได้รับการควบคุม โดยเฉพาะแพลตฟอร์มของ *คอยน์เบส(Coinbase)* ที่สามารถขยายสินทรัพย์ที่จดทะเบียนไปสู่ตลาดอนุพันธ์ได้ในอนาคต ยกตัวอย่างเช่น *SOL ETF ของเร็กซ์ แชร์ส(Rex Shares)* ที่กำลังได้รับความสนใจ พร้อมด้วยตลาดออปชันที่รองรับ
ในด้านความสุกงอม (Maturity) รายงานไม่ได้วัดจากอายุเหรียญเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึง *ความหลากหลายของตลาดที่รองรับ, ความสามารถในการซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ และโครงสร้างพื้นฐานด้านการเก็บรักษา* หนึ่งในตัวอย่างเช่น ‘สุย(SUI)’ ที่แม้เพิ่งเปิดตัว แต่สามารถติดอันดับ Top 10 ได้ ด้วยโครงสร้างที่เข้ากับระบบตลาดทางการซึ่งกำลังพัฒนา
ท้ายที่สุด ไคโค่ รีเสิร์ชสรุปว่า *การวัดมูลค่าสินทรัพย์ดิจิทัลต้องอาศัยการวิเคราะห์เชิงโครงสร้างแบบครบวงจร* มิใช่มองแค่ตัวเลขเดียว หากตลาดคริปโตหวังเข้าสู่ระบบสถาบันอย่างจริงจัง ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่ามี *กลไกการค้นหาราคาที่โปร่งใส, ระบบจัดเก็บสินทรัพย์ที่ปลอดภัย, ผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลาย และการยอมรับจากหน่วยงานกำกับดูแล*
ทั้งนี้ การจัดอันดับสินทรัพย์ของไคโค่ครั้งนี้ถือว่าเป็น *หมุดหมายใหม่ในการวัดศักยภาพของแต่ละเหรียญ* โดยไม่ได้เน้นแค่ด้านความนิยมหรือราคา แต่ชี้วัดจากศักยภาพในการเข้าสู่ตลาดสถาบัน ซึ่งในระยะยาวอาจกลายเป็นมาตรฐานในการตัดสินใจลงทุนของผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดคริปโตต่อไป
ความคิดเห็น 0