ราคาหุ้นของบริษัทสเตรทีจี(MSTR) ที่นำโดยไมเคิล เซย์เลอร์(Michael Saylor) ร่วงลงกว่า 30% ภายในสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางความกังวลของตลาดต่อยุทธศาสตร์ ‘เทหมดหน้าตักในบิตคอยน์(BTC)’ ของบริษัท โดยปัจจุบันบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดแนสแด็กแห่งนี้ถือครองบิตคอยน์อยู่ที่ประมาณ 641,205 BTC โดยมีต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 74,000 ดอลลาร์ต่อเหรียญ ในขณะที่ราคาบิตคอยน์เคลื่อนไหวอยู่ใกล้ระดับ 100,000 ดอลลาร์เพียงเล็กน้อย การร่วงของราคาหุ้นกำลังสะท้อนถึงความเสี่ยงด้านความผันผวนที่อาจเพิ่มขึ้นในระยะสั้น
มาร์ทุน(Maartunn) นักวิเคราะห์จากคริปโตควอนต์(CryptoQuant) ระบุว่า ราคาหุ้นของสเตรทีจีได้ร่วงหลุดเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 สัปดาห์ (EMA) ซึ่งถือเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแนวโน้มเป็นขาลงในเชิงเทคนิค ส่งผลให้มูลค่าตลาดของบริษัทลดลงมาอยู่ในช่วง 6.8 - 7.6 พันล้านดอลลาร์ (ราว 9 - 10 ล้านล้านวอน) จากเดิมซึ่งเคยพุ่งทะลุ 8.3 พันล้านดอลลาร์ (ราว 11 ล้านล้านวอน)
แม้ว่าบริษัทจะถือครองบิตคอยน์มูลค่ารวมประมาณ 64 พันล้านดอลลาร์ (ราว 86 ล้านล้านวอน) แต่เมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดในรูปแบบ mNAV พบว่าบริษัทมีค่าอยู่ที่ประมาณ 1.06 - 1.29 ซึ่งหมายความว่านักลงทุนยังคงยินดีจ่าย ‘พรีเมียม’ ให้กับหุ้นนี้ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงยังคงอยู่ เพราะหากราคาบิตคอยน์อ่อนตัวลงต่อ อัตราพรีเมียมดังกล่าวอาจไม่สามารถป้องกันการตกต่ำของราคาหุ้นได้อีกต่อไป
ด้านนักเทรดชื่อดัง ดอนอัลต์(DonAlt) ได้ออกมาแสดงความเห็นว่า “หากบิตคอยน์หลุดระดับ 100,000 ดอลลาร์ หุ้นสเตรทีจีอาจร่วงได้อีก 55% จนลงไปแตะระดับ 109 ดอลลาร์” โดย “ความคิดเห็น” ดังกล่าวจุดกระแสถกเถียงในกลุ่มนักลงทุน ขณะที่บางรายก็ได้ตั้งข้อสังเกตว่าสถานการณ์ในขณะนี้อาจคล้ายคลึงกับปี 2022 ช่วงที่ราคาหุ้นไมโครสเตรทีจีเคยปรับตัวลงหนักกว่าบิตคอยน์ และซบเซาอยู่นาน
ปัจจุบันราคาหุ้นสเตรทีจีอยู่ที่ระดับประมาณ 237 ดอลลาร์ ขณะที่ราคาบิตคอยน์ยังคงอยู่แถว ๆ 100,000 ดอลลาร์โดยแทบไม่ขยับ ซึ่งทั้งสองสินทรัพย์มีทิศทางที่สอดคล้องกัน ทำให้การร่วงของราคาหุ้นในครั้งนี้ อาจไม่ใช่เพียงแค่ ‘การย่อตัวชั่วคราว’ แต่สะท้อนความเสี่ยงจากโครงสร้างการลงทุนที่ใช้ ‘เลเวอเรจสูงเกินไป’ แบบชัดเจน
*คำ*สำคัญในที่นี้คือ หากราคาบิตคอยน์ร่วงลงอีก หุ้นของสเตรทีจีอาจจะตอบสนองในระดับที่รุนแรงยิ่งกว่า ซึ่งหากตลาดยังไม่กลับมาเชื่อมั่นอีกครั้ง ความเป็นไปได้ของการทิ้งตัวต่อเนื่องก็ยังคงเปิดอยู่ สิ่งที่ต้องจับตาคือ บิตคอยน์จะสามารถฟื้นตัวกลับขึ้นไปอย่างมั่นคงได้หรือไม่ นั่นจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญว่าการปรับฐานครั้งนี้เป็นเพียงชั่วคราว หรือกำลังเปิดฉากการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้าง
ความคิดเห็น 0