คลาวด์แฟลร์(Cloudflare) ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ต เปิดเผยว่า ระบบตรวจจับบอตภายในของบริษัทเกิดข้อผิดพลาด ส่งผลให้เว็บไซต์ประมาณ 20% ทั่วโลกไม่สามารถเข้าถึงได้ชั่วคราว โดยเหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อแพลตฟอร์มคริปโตจำนวนมาก รวมถึงบริการออนไลน์รายใหญ่อื่นๆ ด้วย
เมื่อวันที่ 24 (เวลาท้องถิ่น) บริษัทเปิดเผยในรายงานสอบสวนภายหลังว่า ‘ไฟล์ฟีเจอร์’ ภายในระบบจัดการบอต ซึ่งออกแบบมาเพื่อป้องกันการโจมตีไซเบอร์ มีขนาดเกินกว่าที่ระบบสามารถรองรับได้ นำไปสู่ความผิดพลาดของซอฟต์แวร์ แม้ในตอนแรกจะมีการคาดเดาว่าอาจเกิดจากการโจมตีแบบ DDoS แต่ผลการตรวจสอบภายในยืนยันว่าไม่มีการโจมตีจากภายนอกเกิดขึ้น
คลาวด์แฟลร์ระบุว่า “เราตระหนักดีถึงอิทธิพลของเราในระบบนิเวศอินเทอร์เน็ต ดังนั้นแม้การล่มเพียงบางส่วน ก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้” พร้อมเดินหน้าขอโทษลูกค้าและผู้ใช้งานทั่วโลกที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนี้
คลาวด์แฟลร์ประมวลผลทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตประมาณ 20% ทั่วโลก และให้บริการแก่อันดับเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน และบริการอินเทอร์เน็ตระดับแนวหน้ากว่า 1 ใน 3 เหตุขัดข้องครั้งนี้ส่งผลกระทบรุนแรงต่อแพลตฟอร์มคริปโตชั้นนำอย่าง คอยน์เบส(Coinbase), บล็อกเชนดอทคอม(Blockchain.com), เลเจอร์(Ledger), บิตเม็กซ์(BitMEX), โทน(TON), อาร์บิสแกน(Arbiscan) และดีไฟลามา(DefiLlama) รวมถึงบริการยอดนิยมอย่าง X (เดิมชื่อทวิตเตอร์) และแชทจีพีที(ChatGPT)
ความคิดเห็นจากวงการคริปโตระบุว่า เหตุการณ์นี้เน้นย้ำถึงการพึ่งพา ‘โครงสร้างพื้นฐานแบบรวมศูนย์’ ที่ยังมีอิทธิพลสูง แม้ในอุตสาหกรรมที่มุ่งส่งเสริม ‘การกระจายอำนาจ’ อย่างคริปโต “เหตุการณ์ลักษณะนี้ควรสะกิดเตือนให้เราตระหนักถึงความจำเป็นในการกระจายโครงสร้างพื้นฐาน” เป็นหนึ่งในเสียงวิพากษ์จากแวดวงคริปโต
ก่อนหน้านี้ในเดือนเดียวกัน ผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่อย่าง อะเมซอนเว็บเซอร์วิส(AWS) ก็เพิ่งเผชิญเหตุระบบล่มครั้งใหญ่ ส่งผลให้เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับคริปโตจำนวนมากไม่สามารถใช้งานได้พร้อมกัน
ข้อผิดพลาดจากคลาวด์แฟลร์ครั้งนี้ไม่เพียงส่งผลต่อตลาดคริปโต แต่ยังเน้นให้เห็นถึงความเปราะบางของโครงสร้างพื้นฐานที่ยังคงกระจุกตัวในศูนย์กลางไม่กี่แห่ง หากอุตสาหกรรมคริปโตต้องการบรรลุ ‘การกระจายอำนาจอย่างแท้จริง’ สิ่งหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือการพัฒนาและยกระดับ ‘การกระจายโครงสร้างพื้นฐาน’ ให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
ความคิดเห็น 0