ตลาดฟิวเจอร์สของอีเธอเรียม(ETH) กำลังเผชิญกับความเสี่ยงด้าน ‘ความผันผวนเฉียบพลัน’ หลังจากอัตราการใช้เลเวอเรจพุ่งแตะจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ท่ามกลางราคาที่ซบเซาอยู่ในช่วง 3,000 ดอลลาร์(ประมาณ 402,000 บาท) ส่งผลให้นักวิเคราะห์บางรายเริ่มแสดงความกังวลถึงภาวะ ‘แรงกดดันภายในตลาด’ ที่อาจนำไปสู่การปรับฐานรุนแรง
ข้อมูลจาก Binance ระบุว่า เมื่อวันที่ 19 อัตราการใช้เลเวอเรจโดยประมาณ (Estimated Leverage Ratio: ELR) ของอีเธอเรียมอยู่ที่ 0.5617 ซึ่งถือว่าสูงสุดเท่าที่เคยมีมา ระดับนี้หมายความว่าสัดส่วนของเงินที่กู้ยืมมาใช้ในตลาดอนุพันธ์มีสูงมาก ซึ่ง ‘อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าตลาดกำลังเผชิญภาวะเก็งกำไรเกินจริง’
แพลตฟอร์มวิเคราะห์อย่าง Arab Chain แสดงความคิดเห็นว่า “แม้ว่าราคาแทบไม่ขยับ การที่มีการเพิ่มเลเวอเรจอย่างรวดเร็วชี้ให้เห็นถึงการสะสมแรงกดดันในตลาด” ขณะที่ราคาของ ETH ยังเคลื่อนตัวอยู่ระหว่าง 3,000 ถึง 3,160 ดอลลาร์(ประมาณ 402,000 ถึง 424,000 บาท) ภายในวันเดียวเท่านั้น ซึ่งสะท้อนถึงความไร้ทิศทาง แต่กลับมีการเปิดสถานะทั้งฝั่งซื้อ (Long) และฝั่งขาย (Short) ด้วยเลเวอเรจจำนวนมหาศาล เป็นสูตรสำเร็จของความผันผวนที่สามารถจุดประกายให้เกิด ‘การล้างพอร์ต’ ได้ทันทีที่ราคาเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
ด้านข้อมูลบนเชน (On-chain) ก็เริ่มส่งสัญญาณเตือนที่สอดคล้องกัน จากรายงานของ CryptoQuant ระบุว่า แม้ ETH เคยเข้าใกล้ระดับ 5,000 ดอลลาร์(ราว 670,000 บาท) แต่ปริมาณผู้ใช้รายใหม่ในเครือข่ายกลับไม่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งหมายความว่ากระแสขาขึ้นที่ผ่านมาไม่ได้เกิดจากความต้องการใหม่ แต่เกิดจากการ ‘หมุนเวียนของเงินเก่า’ มากกว่า ซึ่งสะท้อนความไม่ยั่งยืนของแนวโน้มนี้
ในปัจจุบัน อีเธอเรียมซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 3,100 ดอลลาร์(ประมาณ 416,000 บาท) ซึ่งลดลง 13% ภายใน 7 วัน และร่วงลงถึง 24% ภายในเดือนเดียว แม้จะใกล้เคียงกับระดับเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว แต่ก็ยังต่ำกว่าจุดสูงสุดเมื่อเดือนสิงหาคม 2025 ที่ระดับ 4,950 ดอลลาร์(ประมาณ 664,000 บาท) ถึง 38%
แม้ว่าสถานการณ์โดยรวมจะไม่สู้ดีนัก แต่นักวิเคราะห์บางส่วนยังคงมองภาพในแง่ดี โดยระบุว่าแรงเทขายจนสภาพคล่อง ‘ร่วงลงจนถึงจุดต่ำ’ อาจเป็นสัญญาณของแนวรับระยะยาว หรือ ‘จุดฟื้นตัวเชิงเทคนิค’ นอกจากนี้ ยังมีความคาดหวังการฟื้นตัวเมื่อพิจารณา ‘ค่าพรีเมียมต่ำ’ ระหว่างอัตราส่วน ETH/BTC ซึ่งบ่งบอกว่า ETH อาจกำลัง ‘ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น’
อย่างไรก็ตาม บรรยากาศโดยรวมในตลาดยังคงเย็นเฉียบ โดยเฉพาะฝั่งรายย่อยที่ยังไม่กลับเข้าสู่ตลาดอย่างจริงจัง ประกอบกับตลาดฟิวเจอร์สที่เต็มไปด้วยเลเวอเรจ ณ ระดับที่น่ากังวล ทำให้หากไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามากระตุ้นดีมานด์ในเร็ววัน โครงสร้างของตลาดในตอนนี้อาจมีแนวโน้ม ‘เปราะบางต่อการร่วงหนัก’ มากกว่าการพุ่งขึ้นในระยะสั้น
ความคิดเห็น 0