เสียงเรียกร้องให้ประธานาธิบดีทรัมป์เข้ามาแทรกแซงคดีของ โรมัน สตรอม(Roman Storm) ผู้ร่วมก่อตั้งโปรเจกต์ ทอร์นาโด แคช(Tornado Cash) และปกป้องระบบการเงินแบบกระจายศูนย์ หรือ ‘ดีไฟน์(DeFi)’ กำลังดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อองค์กรในอุตสาหกรรมคริปโตและบล็อกเชนของสหรัฐฯ กว่า 65 องค์กร ได้ร่วมกันส่งจดหมายเปิดผนึกถึงทรัมป์เมื่อวันที่ 6 (เวลาท้องถิ่น) เพื่อเรียกร้องให้มีการผ่อนคลายกฎระเบียบและสร้างความชัดเจนด้านนโยบายสินทรัพย์ดิจิทัล
ในจดหมายดังกล่าว ซึ่งลงนามโดยองค์กรสำคัญอย่าง ศูนย์วิจัยนโยบายโซลานา, สมาคมบล็อกเชน และกองทุนเพื่อการศึกษาเรื่องดีไฟน์ ระบุว่า พวกเขามีความกังวลต่อความเคลื่อนไหวของรัฐบาลกลาง ที่อาจนำไปสู่การฟ้องร้องโรมัน สตรอมอีกครั้ง โดยชี้ว่า สตรอมเพียงแค่พัฒนา ‘ซอฟต์แวร์’ สำหรับการรักษาความเป็นส่วนตัวเท่านั้น ไม่ควรถูกลงโทษจากการกระทำที่เกี่ยวกับเสรีในการแสดงออกและความเป็นกลางของโค้ด
โรมัน สตรอมเคยถูกตัดสินว่ามีความผิดในปี 2023 จากข้อหาดำเนินบริการโอนเงินโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งรัฐบาลมองว่าเครื่องมือของเขาอาจเป็นช่องทางอาชญากรรม อย่างไรก็ตาม จดหมายจากกลุ่มผู้สนับสนุนระบุว่าการเอาผิดเช่นนี้ เป็นการทำลายหลักการเสรีภาพและนวัตกรรมในภาคเทคโนโลยีอย่างร้ายแรง ‘คำ’ ที่ถูกเน้นย้ำคือ ‘สิทธิในความเป็นกลางของซอฟต์แวร์’
นอกจากนี้ ยังมีการเรียกร้องให้ประธานาธิบดีทรัมป์สั่งการกับหน่วยงานด้านภาษีอย่างกรมสรรพากร(IRS) และกระทรวงการคลังเพื่อจัดทำนโยบายภาษีที่ชัดเจนสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล ตลอดจนให้คำแนะนำต่อหน่วยงานกำกับด้านการเงินอย่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(SEC) และคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้า(CFTC) เพื่อสร้างกรอบการควบคุมที่เหมาะสม โดยเฉพาะในกลุ่มดีไฟน์ ซึ่งถูกมองว่า ‘ถูกคุกคามจากการกำกับที่รุนแรงเกินความจำเป็น’
ความเคลื่อนไหวนี้ยังสะท้อนถึงทิศทางเชิงกลยุทธ์ของชุมชนคริปโต ที่ต้องการให้ทรัมป์แสดงจุดยืนเป็นมิตรกับอุตสาหกรรมดังกล่าวให้ชัดเจนมากขึ้น โดยอาศัยโอกาสนี้สร้างภาพลักษณ์ที่แตกต่างจากฝ่ายบริหารของรัฐบาลปัจจุบัน ความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ของทรัมป์ อย่างการเปิดตัวสินทรัพย์ดิจิทัล NFT หรือการแสดงจุดยืนสนับสนุนการขุดบิตคอยน์(BTC) ยิ่งตอกย้ำว่าเขาอาจกลายเป็น ‘ผู้สนับสนุนสำคัญของคริปโต’ ในเวทีการเมืองอเมริกัน
‘ความคิดเห็น’ จากผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า คำร้องในครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่การทวงถามความเป็นธรรมในคดีของสตรอมเท่านั้น แต่มุ่งหมายให้ทรัมป์เข้ามามีบทบาทเชิงนโยบายในฐานะ ‘ผู้แทน’ ของชุมชนคริปโต พร้อมทั้งดึงประเด็นเรื่องเสรีภาพด้านเทคโนโลยีมาเป็นส่วนหนึ่งของแผนการหาเสียง
นับว่า การจัดการกับคดีของโรมัน สตรอมอาจกลายเป็นกรณีตัวอย่างที่ส่งผลต่ออนาคตของเทคโนโลยีแบบกระจายศูนย์ และการกำกับดูแลซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สในสหรัฐฯ โดยเฉพาะเมื่อความชัดเจนเรื่องกฎระเบียบที่เป็นมิตรต่อ ‘นวัตกรรม’ กำลังกลายเป็นจุดต่างเชิงยุทธศาสตร์ทางการเมืองสำหรับผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้นำประเทศในอนาคต
ความคิดเห็น 0