แบล็คร็อกเพิ่มบิตคอยน์ ETF ในพอร์ตการลงทุนแบบจำลอง
เมื่อวันที่ 28 (เวลาท้องถิ่น) แบล็คร็อก(BLACKROCK) บริษัทจัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้เพิ่มกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยนบิตคอยน์(ETF) ของตัวเอง ‘ไอแชร์ส บิตคอยน์ ทรัสต์(IBIT)’ เข้าสู่โมเดลพอร์ตโฟลิโอของบริษัท นับเป็นก้าวสำคัญที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนที่ใช้กลยุทธ์พอร์ตโฟลิโอแบบจำลองสามารถถือครองบิตคอยน์ในสัดส่วน 1-2% ของสินทรัพย์รวม
สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า โมเดลพอร์ตโฟลิโอของแบล็คร็อกมีมูลค่ารวมประมาณ 1.5 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 5.4 ล้านล้านบาท) การเพิ่ม IBIT ในกลยุทธ์นี้เกิดขึ้นหลังจากการประเมินว่าการจัดสรรบิตคอยน์ที่ระดับ 1-2% เป็นตัวเลือกที่ ‘อยู่ในกรอบที่เหมาะสม’ โดยแบล็คร็อกพิจารณาว่าสัดส่วนที่สูงกว่านี้อาจทำให้ความเสี่ยงของพอร์ตโฟลิโอเพิ่มขึ้นมากเกินไป
โมเดลพอร์ตโฟลิโอของแบล็คร็อกเป็นแนวทางที่ที่ปรึกษาทางการเงินใช้บริหารสินทรัพย์ให้แก่ลูกค้าผ่านกลยุทธ์ต่างๆ เช่น การเติบโตของพอร์ต การสร้างกระแสรายได้ และการรักษาเงินทุน บริษัทคาดการณ์ว่าตลาดพอร์ตการลงทุนแบบจำลองจะเติบโตแตะ 10 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 360 ล้านล้านบาท) ภายในห้าปีข้างหน้า ทำให้การเพิ่ม IBIT อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่กระตุ้นความต้องการลงทุนในบิตคอยน์ ETF ของสถาบัน
ขณะเดียวกัน ประเด็นเกี่ยวกับบทบาทของคริปโตเคอร์เรนซีในพอร์ตโฟลิโอรูปแบบ ‘60/40’ ยังคงถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่อง ปีที่แล้ว ฟิเดลิตี(Fidelity) ระบุว่าบิตคอยน์ให้ผลตอบแทนสูงแต่มีความผันผวนสูงเช่นกัน พร้อมเตือนว่าการจัดสรรบิตคอยน์ในปริมาณเล็กน้อยก็อาจเพิ่มความเสี่ยงของพอร์ตโฟลิโออย่างมหาศาล ด้านเจพีมอร์แกน(JPMorgan) ก็เน้นย้ำว่าผลตอบแทนที่สูงของบิตคอยน์มาควบคู่กับ ‘ความผันผวนที่รุนแรง’
ในวันที่ 28 บิตคอยน์(BTC) มีการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงจาก 85,122 ดอลลาร์ ลงมาที่ 78,215 ดอลลาร์ แสดงให้เห็นถึงความผันผวนในตลาด ขณะที่ IBIT ของแบล็คร็อกก็เผชิญกับการไหลออกของเงินทุน 420 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท) เมื่อวันที่ 26 ซึ่งถือเป็นการไหลออกครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่เปิดตัวเมื่อเดือนมกราคมปีที่แล้ว โดยในวันเดียวกัน กองทุนบิตคอยน์ ETF ทั้งหมดมีเงินทุนไหลออกสูงถึง 756 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.7 หมื่นล้านบาท)
อย่างไรก็ตาม ไมเคิล เกตส์(Michael Gates) หัวหน้าฝ่าย ETF ของแบล็คร็อก กล่าวว่า "บิตคอยน์ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีศักยภาพระยะยาวและสามารถช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน" ในขณะที่ดัชนี ‘ความกลัวและความโลภ’ ของตลาดคริปโตฯ ลดลงเหลือ 10 จุด แสดงถึงภาวะ ‘กลัวสุดขีด’ ซึ่งเป็นระดับที่ไม่ได้เห็นมาตั้งแต่เหตุการณ์ล้มละลายของทรีแอร์โรว์สแคปิทัล(3AC) ในปี 2022
การตัดสินใจของแบล็คร็อกในการปรับโมเดลพอร์ตโฟลิโอนี้ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มที่สถาบันต่างๆ กำลังเปลี่ยนมุมมองต่อบิตคอยน์ อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความผันผวนของตลาด เส้นทางของเงินทุนที่ไหลเข้าและออกจาก ETF บิตคอยน์ยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามต่อไป
ความคิดเห็น 0