สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (SEC) ยืนยันว่า หน่วยงานสามารถดำเนินการจัดระเบียบและออกกฎเกณฑ์ควบคุมสินทรัพย์ดิจิทัลได้โดยไม่จำเป็นต้องรอการตรากฎหมายจากสภาคองเกรส กระตุ้นความสนใจต่อกรอบกำกับดูแลอุตสาหกรรมคริปโตในอนาคต
เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม แถลงการณ์ของพอล แอ็ตกินส์(Paul Atkins) กรรมาธิการของ SEC ในการสัมภาษณ์กับ CNBC เปิดเผยว่า “เราได้รับมอบอำนาจอย่างเพียงพอที่จะเดินหน้าต่อไปได้” พร้อมเสริมว่า “คาดว่าจะสามารถประกาศกฎใหม่ภายในหนึ่งเดือน ซึ่งรวมถึง ‘ข้อยกเว้นเชิงนวัตกรรม’ (Innovation Exemption)” ความเคลื่อนไหวนี้ส่งสัญญาณว่า SEC กำลังมุ่งหน้าไปสู่การออกแบบกฎระเบียบเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลที่ ‘ชัดเจนและยืดหยุ่น’ มากขึ้นภายในปี 2026
แอ็ตกินส์ระบุด้วยว่า แม้ในขณะนี้สภาคองเกรสยังอยู่ระหว่างการพิจารณาร่างกฎหมายควบคุมสินทรัพย์ดิจิทัล แต่ SEC ได้ให้ ‘คำปรึกษาทางเทคนิค’ เพื่อสนับสนุนกระบวนการดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของ ‘ร่างกฎหมายโครงสร้างตลาด’ (Market Structure Bill) ที่กำลังหารืออยู่ในวุฒิสภา ซึ่งมีเนื้อหาครอบคลุมถึงการออกเหรียญ การซื้อขาย และการดูแลสินทรัพย์คริปโตในเชิงโครงสร้าง
ในการให้สัมภาษณ์เดียวกัน แอ็ตกินส์ยอมรับว่า แม้การปิดหน่วยงานรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของ SEC แต่การพัฒนากฎระเบียบเฉพาะด้านคริปโตยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง และขณะนี้ทิศทางของกฎใหม่ต่าง ๆ มุ่งสนับสนุนอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างชัดเจน
ความเคลื่อนไหวของ SEC ที่ดำเนินแผนงานโดยไม่ต้องรอการออกกฎหมายใหม่ อาจส่งผลให้เกิดการประสานนโยบายกับฝ่ายนิติบัญญัติ แทนที่จะเกิดการขัดแย้ง ซึ่ง ‘ความคิดเห็น’ มองว่า เป็นไปได้เนื่องจากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา SEC เองก็ได้ดำเนินการด้านกำกับดูแลมาอย่างต่อเนื่อง เช่น การพิจารณาอนุมัติบิตคอยน์(BTC) ETF และการปรับแนวทางจัดประเภทหลักทรัพย์ของสินทรัพย์ดิจิทัล
ในหมู่นักวิเคราะห์และผู้ประกอบการ ความสนใจส่วนใหญ่พุ่งไปที่ ‘ข้อยกเว้นเชิงนวัตกรรม’ ซึ่งแอ็ตกินส์กล่าวถึง เนื่องจากยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเชิงลึก แต่มี ‘ความคิดเห็น’ ว่า อาจนำไปสู่การลดข้อจำกัดบางประการสำหรับสตาร์ทอัปด้านเทคโนโลยี Web3 หรือโปรเจกต์ที่เน้นระบบไร้ศูนย์กลาง โดยอาจกลายเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยลดอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดสำหรับโครงการใหม่ ๆ
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า การที่ SEC แสดงความพร้อมในการวางกรอบกำกับดูแลอย่าง ‘อิสระ’ โดยมีท่าทีเปิดกว้างต่อภาคเอกชน อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เร่งให้อุตสาหกรรมคริปโตในสหรัฐฯ เดินหน้าเข้าสู่ระบบกฎหมายหลักภายในปี 2026
ความคิดเห็น 0