แอปโทส(APT) กำลังเตรียมรับมือกับภัยคุกคามจาก ‘คอมพิวเตอร์ควอนตัม’ ด้วยการเสนอ AIP-137 ซึ่งเป็นข้อเสนอด้านความปลอดภัยเชิงรุกฉบับแรกที่มุ่งป้องกันเครือข่ายในอนาคต โดยมุ่งเน้นนำร่องนำระบบลายเซ็น SLH-DSA-SHA2-128s ซึ่งได้รับรองมาตรฐานจากรัฐบาลสหรัฐฯ มาใช้เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการรุกล้ำของเทคโนโลยีควอนตัมในระยะยาว
ข้อเสนอนี้พัฒนาโดย อลิน โทเมสคู(Alin Tomescu) หัวหน้าฝ่ายการเข้ารหัสของบริษัท แอปโทสแล็บส์(Aptos Labs) ซึ่งชี้ว่าภัยจากคอมพิวเตอร์ควอนตัมยังไม่ใช่ความจริงในวันนี้ แต่ต้องเตรียมพร้อมไว้ก่อนล่วงหน้า โดยเฉพาะในช่วงที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง ไอบีเอ็ม(IBM), ไมโครซอฟท์(MSFT) และ กูเกิล กำลังเร่งพัฒนาเทคโนโลยีควอนตัมอย่างจริงจัง ประกอบกับการที่สถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติสหรัฐฯ หรือ NIST ได้เริ่มวางมาตรฐานสำหรับอัลกอริทึมหลังยุคควอนตัม(PQC) ยิ่งส่งสัญญาณชัดเจนว่าความเปลี่ยนแปลงใกล้เข้ามา
ข้อเสนอ AIP-137 ของแอปโทสไม่ได้เน้นที่ ‘ประสิทธิภาพ’ หากแต่ให้ความสำคัญสูงสุดกับ ‘ความปลอดภัยที่ผ่านการรับรอง’ โดยเลือกใช้ระบบลายเซ็น SLH-DSA-SHA2-128s ซึ่งเป็นระบบไม่ต้องจัดเก็บสถานะ (stateless) และใช้เพียงแฮชฟังก์ชัน SHA-256 ซึ่งมีอยู่ในโครงสร้างพื้นฐานของแอปโทสอยู่แล้ว นั่นหมายถึงไม่ต้องพึ่งพาสมมุติฐานทางคณิตศาสตร์รูปแบบใหม่ที่ยังไม่ผ่านการพิสูจน์
แนวทางดังกล่าวเป็นบทเรียนจากระบบลายเซ็น Rainbow ที่ถูกถอดจากการพิจารณาของ NIST หลังพบว่าสามารถถูกถอดรหัสได้แม้ใช้แล็ปท็อปรุ่นทั่วไป แอปโทสจึงเลือกแนวทางระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดจุดอ่อนภายใต้ข้ออ้างของ ‘ความปลอดภัยควอนตัม’
แม้แนวทางนี้จะปลอดภัยกว่า แต่ก็แลกมาด้วยต้นทุนที่สูงขึ้น โดยลายเซ็น SLH-DSA มีขนาด 7,856 ไบต์ หรือ ‘ใหญ่กว่า Ed25519 ราว 82 เท่า’ และมีความเร็วในการตรวจสอบช้ากว่าราว 4.8 เท่า ขณะที่เทคโนโลยีคู่แข่งอย่าง ML-DSA และ ฟอลคอน(Falcon) อาจเร็วกว่ามาก แต่ก็ยังไม่มีผลพิสูจน์เชิงคณิตศาสตร์ที่เพียงพอหรือยุ่งยากต่อการนำไปใช้งาน ดังนั้น แอปโทสจึงเลือกเริ่มต้นด้วยมาตรฐานที่มั่นคงก่อน
ข้อเสนอ AIP-137 ยังถือหลัก ‘ไม่บังคับ’ โดยอนุญาตให้ผู้ใช้เลือกเปิดใช้ฟีเจอร์ด้วยตัวเอง ลายเซ็นแบบเดิม Ed25519 ยังคงใช้งานได้ตามปกติ ขณะเดียวกัน SLH-DSA จะถูกบรรจุเป็นฟีเจอร์เสริมซึ่งเปิดใช้ได้เมื่อต้องการ เพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านแบบค่อยเป็นค่อยไปโดยไม่กระทบความเสถียรของทั้งเครือข่าย
ระบบจะใช้กลไกที่เรียกว่า ‘ฟีเจอร์แฟลก’ ซึ่งจะค่อย ๆ ถูกผสานเข้าสู่ Validator, Indexer, กระเป๋าเงิน และเครื่องมือสำหรับพัฒนา โดยเปิดทางให้แต่ละส่วนงานเลือกเวลาที่เหมาะสมในการเปลี่ยนแปลง
การเคลื่อนไหวของแอปโทสยังสอดคล้องกับกระแสความกังวลในวงการคริปโตโดยรวม เช่น ไมเคิล เซย์เลอร์ ผู้ก่อตั้งบริษัท ไมโครสแตรทิจี (MicroStrategy) ระบุว่า ‘เทคโนโลยีควอนตัมจะไม่ได้ทำลายบิตคอยน์(BTC) แต่จะทำให้มันแข็งแกร่งยิ่งขึ้น’ เนื่องจากเครือข่ายที่พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงด้านความปลอดภัยจะกลายเป็นที่ไว้วางใจมากขึ้นในอนาคต
ฝั่งของ อนาโตลี ยาโคเวนโก ผู้ก่อตั้งโซลานา(SOL) ก็แสดงความเห็นว่า บิตคอยน์ควรเร่งเปลี่ยนผ่านด้านความปลอดภัยให้ทันก่อนที่เครื่องถอดรหัสควอนตัมจะปรากฏขึ้นจริงใน 5 ปีข้างหน้า ด้วยเหตุที่ประมาณ 30% ของบิตคอยน์ในปัจจุบัน หรือราว 6–7 ล้านเหรียญ ยังคงอยู่ในที่อยู่อื่นที่เสี่ยงต่อการโจมตีจากระบบควอนตัม
ในขณะเดียวกัน บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีต่างเริ่มวางโรดแมปเชิงรุกรับมือกับยุคควอนตัม เช่น IBM ตั้งเป้าผลิตชิปควอนตัมระดับ 100,000 คิวบิตภายในปี 2030, PsiQuantum ประกาศเป้าเทคโนโลยีควอนตัมแบบแสงที่มีถึง 1 ล้านคิวบิต ส่วนไมโครซอฟท์ก็เพิ่งประกาศความก้าวหน้าในเทคโนโลยีควอนตัม โดยเรียกมันว่า "เทคโนโลยีแห่งอีกไม่กี่ปี ไม่ใช่สิบปีข้างหน้า"
ศาสตราจารย์กาวิน เบรนแนน จากมหาวิทยาลัยแมคควอรี ในออสเตรเลียกล่าวว่า จำนวนคิวบิตควอนตัมที่จำเป็นในการเจาะลายเซ็น 256 บิตนั้นลดลงจากเดิม 20 ล้านเหลือเพียง 1 ล้านคิวบิต ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จริงในช่วงกลางทศวรรษ 2030
รายงานแนวโน้มสินทรัพย์ดิจิทัล 2026 โดยเกรย์สเกล(Grayscale) ระบุว่า แม้เทคโนโลยีควอนตัมจะยังไม่ส่งผลต่อราคาคริปโตในระยะสั้น แต่จะกลายเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้บล็อกเชนเกือบทั้งหมดต้องเปลี่ยนระบบความปลอดภัยในอนาคต โดยข้อเสนออย่าง AIP-137 จึงนับเป็นก้าวแรกที่อุตสาหกรรมเริ่มวางมาตรฐาน ‘ความปลอดภัยในโลกหลังยุคควอนตัม’ ไว้ล่วงหน้า
*ความคิดเห็น*: แนวทางอัปเกรดของแอปโทสที่ไม่เร่ง แต่มีความพร้อม ถือเป็นกรณีศึกษาของแนวทางเชิงรุก และอาจกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ในโลกคริปโตท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคควอนตัม.
ความคิดเห็น 0