อาเธอร์ เฮย์ส(Arthur Hayes) ผู้ร่วมก่อตั้งบิทเม็กซ์(BitMEX) ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับแผนการสำรองบิตคอยน์(BTC) ของรัฐบาลสหรัฐฯ พร้อมทั้งเรียกความพยายามในการกำกับดูแลคริปโตว่าเป็นการกระทำที่ขับเคลื่อนโดย ‘ผลประโยชน์ทางการเมือง’ มากกว่าความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
เมื่อวันที่ 5 เฮย์สได้เผยแพร่บทความชื่อ ‘The Genie’ ซึ่งกล่าวถึงความเสี่ยงที่รัฐบาลสหรัฐฯ จะใช้บิตคอยน์เป็นเครื่องมือทางการเมืองมากกว่าการลงทุนเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เขาชี้ว่า “หากรัฐบาลสามารถซื้อสินทรัพย์ได้ ก็สามารถขายมันได้เช่นกัน” ซึ่งหมายความว่าแนวทางนี้อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อตลาดจากการเคลื่อนไหวเชิงนโยบายที่มุ่งหวังผลกำไรระยะสั้น
นอกจากนี้ เฮย์สยังวิจารณ์แผน ‘การสำรองบิตคอยน์เชิงกลยุทธ์ (BSR)’ ที่เสนอโดยวุฒิสมาชิกซินเทีย ลูมิส(Cynthia Lummis) โดยระบุว่าหากประธานาธิบดีทรัมป์สั่งซื้อ 1 ล้าน BTC อาจทำให้ราคาพุ่งขึ้นในช่วงแรก แต่หากรัฐบาลหยุดซื้อ แรงหนุนจากตลาดก็จะหายไป และหากพรรคเดโมแครตกลับมามีอำนาจในปี 2026 บิตคอยน์ที่สำรองไว้ก็อาจถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือระดมทุนสำหรับนโยบายใหม่
เฮย์สยังตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับวิธีที่รัฐบาลจะบริหารจัดการสินทรัพย์นี้ โดยถามว่า “รัฐบาลจะเพียงแค่ถือครอง หรือจะดำเนินการโหนดและสนับสนุนนักพัฒนา?” พร้อมชี้ว่ารัฐไม่น่าจะเข้าใจและยอมรับอุดมการณ์ของบิตคอยน์อย่างแท้จริง
อีกประเด็นหนึ่งที่เฮย์สให้ความสำคัญคือ ‘ความเป็นไปได้ที่ทรัมป์จะใช้ความผันผวนของบิตคอยน์เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง’ โดยเขาเตือนว่าอาจมีการใช้กองทุนสำรองบิตคอยน์เป็นเครื่องมือสำหรับการระดมทุนหาเสียง
ในขณะที่ข่าวลือเกี่ยวกับกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติที่อาจรวมถึงบิตคอยน์กำลังแพร่สะพัด แพลตฟอร์มพยากรณ์ตลาดโพลีมาร์เก็ต(Polymarket) คาดการณ์ว่าภายในสิ้นปี 2025 มีโอกาส 46% ที่รัฐบาลสหรัฐฯ จะเข้าซื้อบิตคอยน์
เฮย์สยังวิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับแนวทางการกำกับดูแลคริปโต โดยเรียกกฎหมายใหม่ว่า ‘กฎหมายคริปโตแฟรงเกนสไตน์’ ซึ่งสร้างกรอบการกำกับดูแลที่ซับซ้อนและเข้มงวดจนเอื้อประโยชน์ให้เฉพาะสถาบันการเงินขนาดใหญ่ อย่างเช่น คอยน์เบส(Coinbase) และแบล็คร็อก(BlackRock) ขณะที่บริษัทขนาดเล็กและโครงการบล็อกเชนที่มีนวัตกรรมสูงจะเผชิญกับอุปสรรคมากขึ้น
เขายังเน้นว่าบางสถาบันสนับสนุนกฎระเบียบเหล่านี้เพื่อสร้างความได้เปรียบให้กับตนเอง ขณะที่นักพัฒนาการเงินไร้ศูนย์กลาง(DeFi) ส่วนใหญ่ไม่มีอิทธิพลทางการเมืองมากพอที่จะปกป้องตนเองจากกฎหมายเหล่านี้
ท้ายที่สุด เฮย์สเตือนว่าการดำเนินธุรกิจภายใต้ความหวังว่ากฎระเบียบในสหรัฐฯ จะมีความชัดเจนขึ้นอาจเป็นการตัดสินใจที่เสี่ยง เนื่องจากระบบการเงินแบบดั้งเดิมของประเทศอาจเลือกที่จะ ‘ควบคุม’ มากกว่าที่จะ ‘สนับสนุน’ นวัตกรรมจากเทคโนโลยีบล็อกเชน
คำเตือนของเฮย์สเป็นการเน้นย้ำถึงความเป็นไปได้ที่นโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ จะให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ทางการเมืองมากกว่าความเสถียรของตลาดคริปโต ซึ่งยังคงต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่าทิศทางของยุทธศาสตร์สำรองบิตคอยน์และกฎระเบียบในอนาคตจะมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมนี้อย่างไร
ความคิดเห็น 0