ไบแนนซ์(Binance) ทำสถิติใหม่ผู้ใช้งานทะลุ 300 ล้านบัญชี หลังจากก่อตั้งมาเพียง 8 ปี โดยความสำเร็จนี้เกิดจากปัจจัยหลายด้าน ทั้งการลิสต์เหรียญอย่างรวดเร็ว สภาพคล่องที่แข็งแกร่ง ระบบฐานทุนที่มั่นคง และโครงสร้างเทคโนโลยีที่สามารถสร้าง ‘สภาพแวดล้อมการซื้อขายที่เชื่อถือได้’ จึงกลายเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักให้เกิดการเติบโต
ไบแนนซ์เปิดตัวเมื่อเดือนกรกฎาคม 2017 และได้กลายมาเป็น *แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตที่ใหญ่ที่สุดในโลก* ภายในเวลาอันสั้น ด้วยโครงสร้างสมุดคำสั่ง(ออร์เดอร์บุ๊ก)ที่ลึกและเสถียร ซึ่งช่วยรองรับความผันผวนของตลาด และการออกแบบกลไก ‘ฟลายวีลสภาพคล่อง’ ที่ทำให้ผู้ใช้งานทั่วโลกสามารถเข้าสู่ตลาดได้ง่ายขึ้น จึงมีส่วนผลักดันให้ฐานผู้ใช้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ตามรายงานฉบับล่าสุดของไบแนนซ์ ระบุว่าระหว่างปี 2019 ถึง 2020 ตลาดแบบสปอตและฟิวเจอร์สแบบไม่มีวันหมดอายุได้เติบโตควบคู่กัน ทำให้กลยุทธ์จัดการความเสี่ยง(เฮดจิ้ง)ของผู้ดูแลสภาพคล่องมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ส่งผลให้โครงสร้างคำสั่งซื้อขายได้รับการปรับปรุง ส่วนต่างราคาซื้อขายแคบลง และต้นทุนธุรกรรมโดยรวมลดลง
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือช่วงขาขึ้นของตลาดในปี 2020-2021 ที่ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่คู่เหรียญหลักอย่าง *บิตคอยน์(BTC)-USDT* และ *อีเธอเรียม(ETH)-USDT* ยังสามารถคงระดับส่วนต่างเพียง 1 ติ๊ก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของระบบจับคู่อัตโนมัติของไบแนนซ์และกลยุทธ์การส่งคำสั่งซื้อขายแบบมืออาชีพที่สามารถรับมือกับแรงกระแทกของตลาดได้อย่างยอดเยี่ยม
แม้ในปี 2022–2023 จะเผชิญกับความไม่ชัดเจนของกฎเกณฑ์และการลดบริการจากธนาคารรายใหญ่ แต่ไบแนนซ์ยังคงสามารถรักษาความได้เปรียบด้านสภาพคล่องเหนือแพลตฟอร์มคู่แข่งได้ การฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของสมุดคำสั่งและส่วนต่างราคาที่ลดลงอย่างรวดเร็ว บ่งชี้ถึงฐานผู้ร่วมตลาดที่มีฐานทุนแข็งแรง และระบบเทคโนโลยีที่มีเสถียรภาพสูง
ต้นปี 2024 ตลาดยิ่งได้รับแรงสนับสนุนจากการอนุมัติ *กองทุน ETF บิตคอยน์แบบสปอต* ที่เสริมแรงดึงดูดจากนักลงทุนสถาบัน เช่นเดียวกับการประกาศใช้กฎหมาย *MiCA* ในยุโรปเมื่อเดือนมิถุนายน ซึ่งช่วยสร้างความชัดเจนเชิงกฎระเบียบ และเพิ่มความเชื่อมั่นของผู้ดูแลสภาพคล่องในตลาด
รูปแบบของ *สเตเบิลคอยน์* ก็มีการเปลี่ยนแปลงตามมา แม้ USDT จะยังครองส่วนแบ่งหลัก แต่ FDUSD และ USDC ก็ต่างมีบทบาทเพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยกระจายความเสี่ยงจากผู้ออกเหรียญรายเดียว และสนับสนุนฟื้นตัวของตลาดแบบรวดเร็วโดยไม่มีผลกระทบต่อสภาพคล่อง
ข้อมูลประจำวันที่ 1 ธันวาคม 2025 แสดงให้เห็นว่าไบแนนซ์ประมวลผลคำสั่งซื้อขายกว่า 61.9 ล้านคำสั่งภายในวันเดียว ด้วยมูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(ประมาณ 29.6 ล้านล้านวอน หรือ 736,000 ล้านบาท) โดยในวันเดียวกัน โคอินเบส(Coinbase) มีปริมาณเทรด 3,600 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ OKX อยู่ที่ 3,000 ล้านดอลลาร์ ขนาดคำสั่งที่เล็กกว่าของไบแนนซ์ชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมของกลยุทธ์แบบอัลกอริทึมร่วมกับฐานผู้ใช้รายบุคคลที่ใช้งานอย่างต่อเนื่อง
ความถี่ในการซื้อขายที่สูงนี้ ยังช่วยลดความเหลื่อมล้ำของราคาในแต่ละแพลตฟอร์มได้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่างคือราคาของคู่เหรียญ BTC-USDT มักมีส่วนต่างกับโคอินเบสไม่เกิน 1 จุดเบสิส (1bp) ซึ่งเป็นผลจากความสามารถในการทำอาร์บิทราจอย่างมีประสิทธิภาพและระบบเคลียร์ริ่งที่มั่นคง
หนึ่งในวันที่น่าจับตาคือช่วงเดือนตุลาคม 2025 ซึ่งไบแนนซ์มีปริมาณซื้อขายแบบสปอตสูงถึง 60,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 88.4 ล้านล้านวอน หรือกว่า 2.2 ล้านล้านบาท) ระบบโอเดอร์บุ๊กสามารถฟื้นตัวได้แทบจะในทันที ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถดำเนินกลยุทธ์ได้อย่างไม่มีสะดุด
ท่ามกลางการเติบโตเหล่านี้ ไบแนนซ์ได้กลายเป็น ‘กรณีศึกษา’ ที่สะท้อนว่าแพลตฟอร์มคริปโตสามารถพัฒนาไปเป็นระบบการเงินขนาดใหญ่ได้เมื่อองค์ประกอบหลักทั้ง ‘สภาพคล่อง’, ‘ความชัดเจนทางกฎหมาย’, ‘การกระจายตัวของสเตเบิลคอยน์’ และ ‘ระบบโครงสร้างเทคโนโลยีอันแข็งแกร่ง’ มารวมตัวกันอย่างลงตัว
‘ความคิดเห็น’: กรณีไบแนนซ์เป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าตลาดคริปโตไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงแค่ข่าวบวกหรือลบในระยะสั้น แต่โครงสร้างพื้นฐานและกลยุทธ์ระยะยาวล้วนเป็นตัวแปรสำคัญที่ตัดสินความยั่งยืนของแพลตฟอร์มในระยะยาว
ความคิดเห็น 0