ปี 2025 กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับตลาดอนุพันธ์คริปโต ซึ่งกำลังเปลี่ยนผ่านจากเวทีการเก็งกำไรของนักลงทุนรายย่อยสู่ยุคของนักลงทุนสถาบันอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีปริมาณการซื้อขายรวมทั้งปีสูงถึงประมาณ 85.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 124 ตันล้านบาท ส่งผลให้โครงสร้างของตลาดถูกจัดระเบียบใหม่ในหลายมิติ
รายงานประจำปีของ CoinGlass เปิดเผยว่า กระแสเงินทุนจากนักลงทุนสถาบันเข้ามามีบทบาทหลักในการเปลี่ยนแปลงตลาดอนุพันธ์คริปโต โดยเฉพาะสัญญาฟิวเจอร์สและผลิตภัณฑ์สำหรับการป้องกันความเสี่ยง (Hedge) และทำกำไรจากส่วนต่างราคา (Arbitrage) ส่งผลให้ตลาดไม่ได้ถูกมองว่าเป็นการเก็งกำไรความเสี่ยงสูงอีกต่อไป หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงหลักคือ กลุ่ม CME ที่มีสำนักงานใหญ่ในชิคาโก ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านสัญญาฟิวเจอร์สบิตคอยน์(BTC) ตามมูลค่ามิใช่ชำระ(open interest) แซงหน้าไบแนนซ์ที่ครองตลาดมาอย่างยาวนาน ขณะที่ในกลุ่มสัญญาอนุพันธ์ของอีเธอเรียม(ETH) กลุ่ม CME ก็สามารถไล่ระดับและขยายฐานผู้ใช้งานสถาบันได้อย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม แพลตฟอร์มซื้อขายเฉพาะทางอย่าง OKX, ไบบิท(Bybit) และบิทเกต(Bitget) ยังคงสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดขนาดใหญ่ไว้ได้ แสดงให้เห็นว่าตลาดกำลังเข้าสู่ ‘สถานะร่วม’ ระหว่างนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบัน
ตลอดปี 2025 ความผันผวนในตลาดได้ทดสอบความสามารถของระบบบริหารความเสี่ยงของทุกแพลตฟอร์ม โดย CoinGlass วิเคราะห์ว่า เหตุการณ์ความปั่นป่วนรุนแรงที่เกิดขึ้น ได้สร้างแรงกดดันอย่างไม่เคยมีมาก่อนต่อกระบวนการบริหารความเสี่ยงของตลาดอนุพันธ์ รวมถึงความเชื่อมโยงเชิงโครงสร้างระหว่างแพลตฟอร์มต่างๆ กลับกลายเป็นจุดเปราะบางที่ทำให้เกิดความเสี่ยงแบบลูกโซ่ ปัญหาการกระจุกตัวของมูลค่าสินทรัพย์และปริมาณสัญญาที่ยังไม่ถูกปิดในแต่ละแพลตฟอร์มยิ่งทำให้เกิดความกังวลเรื่องความเสี่ยงเชิงระบบ ซึ่งส่งผลให้เกิดกระแสเรียกร้องให้พัฒนาระบบบริหารความเสี่ยงที่ละเอียดและแม่นยำมากยิ่งขึ้น
ในด้านปัจจัยมหภาค บิตคอยน์ไม่ได้แสดงลักษณะของสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างที่เคยถูกคาดหวัง แต่กลับมีพฤติกรรมแบบ ‘สินทรัพย์ความเสี่ยงสูงที่ไวต่อความผันผวน’ หรือ ‘สินทรัพย์เบต้าสูง’ (High-Beta) โดยข้อมูลจาก CoinGlass ระบุว่า ราคาบิตคอยน์พุ่งขึ้นจากประมาณ 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ ไปแตะระดับสูงสุดที่ 126,000 ดอลลาร์สหรัฐในปีเดียว อันเป็นผลมาจากกระแสสภาพคล่องทั่วโลก ไม่ใช่การเพิ่มขึ้นของมูลค่าโดยพื้นฐาน และเมื่อปลายปีธนาคารกลางสหรัฐฯ เข้าสู่แนวนโยบายการเงินแบบตึงตัว ประกอบกับความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของญี่ปุ่น ทำให้ราคาบิตคอยน์ทรุดตัวลงทันที เหตุการณ์เหล่านี้ ทำให้ผลิตภัณฑ์อนุพันธ์ในตลาดได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในฐานะเครื่องมือสำหรับการเฮดจ์และการเก็งกำไรอย่างแม่นยำ
ปี 2025 ยังเป็นหมุดหมายของการพัฒนาด้าน ‘อนุพันธ์แบบไร้ศูนย์กลาง’ (Decentralized Derivatives) ซึ่งเริ่มก้าวพ้นช่วงการทดลองเข้าสู่การแข่งขันเชิงพาณิชย์อย่างจริงจัง แพลตฟอร์มแบบออนเชนหลายแห่งเริ่มสามารถแข่งขันกับกระดานเทรดแบบศูนย์กลางได้ในบางผลิตภัณฑ์ ด้วยความได้เปรียบด้านความสามารถต้านการเซ็นเซอร์โครงสร้างอัตโนมัติและความยืดหยุ่นของการออกแบบระบบ
ด้านกฎระเบียบ ประเทศต่าง ๆ เร่งสร้างกรอบกฎหมายเพื่อสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรม สหรัฐฯ เดินหน้าผลักดันกฎหมายเพื่อยกระดับความชัดเจนทางกฎหมาย ขณะที่ยุโรปใช้นโยบาย ‘MiCA’ และคำแนะนำ MiFID เพื่อเสริมสร้างการคุ้มครองผู้บริโภค ส่วนฮ่องกง สิงคโปร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เริ่มกลายเป็นศูนย์กลางแห่งกฎระเบียบที่เอื้อต่อสินทรัพย์ดิจิทัล ภายใต้หลักการ ‘ความเสี่ยงเดียวกัน กฎเดียวกัน’ ทำให้เกิดความสอดคล้องระดับโลกในการกำกับดูแล
ท้ายที่สุด ปี 2025 เป็นปีที่ตลาดอนุพันธ์คริปโตสามารถสลัดภาพของ ‘แหล่งเก็งกำไรอย่างไร้ระเบียบ’ กลายเป็น ‘โครงสร้างพื้นฐานทางการเงินดิจิทัล’ ที่สำคัญของโลก จากนี้ไปตลาดอนุพันธ์จะไม่ใช่แค่การซื้อขายเพื่อหวังเก็งกำไรเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือหลักในการประเมินราคา กระจาย และจัดการความเสี่ยงแบบองค์รวม ซึ่งเตรียมพร้อมรองรับโครงสร้างตลาดที่กำลังจะซับซ้อนและละเอียดขึ้นในอนาคต
‘ความคิดเห็น’: สาระสำคัญของปี 2025 คือการที่นักลงทุนสถาบันเข้ามามีอิทธิพลในตลาดอนุพันธ์คริปโต ส่งผลให้มาตรฐานด้านกลไกราคา การบริหารความเสี่ยง และกฎระเบียบถูกยกระดับ จนสามารถเทียบเคียงกับตลาดการเงินดั้งเดิมได้อย่างน่าจับตา
ความคิดเห็น 0