บิตคอยน์(BTC) เคลื่อนไหวใกล้ระดับ 89,127 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.29 ล้านบาท) ในการซื้อขายช่วงวันบ็อกซิงเดย์ ขณะที่ตลาดหุ้นในเอเชียหลายแห่งปิดทำการ ส่งผลให้ปริมาณซื้อขายบางเบา แต่ราคายังแสดงถึงแรงซื้อในบางจุด ด้านราคาสินทรัพย์อย่าง ‘เงิน’ ยังคงได้รับความสนใจ หลังแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
เมื่อวันที่ 25 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกราวกับหยุดนิ่ง เนื่องจากวันหยุดยาวปลายปี โดยเฉพาะการซื้อขายในวันที่ 26 ธันวาคม ซึ่งตรงกับวันบ็อกซิงเดย์นั้นเป็นไปอย่างจำกัด อย่างไรก็ตาม ดัชนี MSCI เอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมญี่ปุ่น) ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากวันซื้อขายก่อนหน้าอีก 0.35% สถานการณ์ในตลาดคริปโตก็สะท้อนความเคลื่อนไหวคล้ายคลึงกัน โดยมีการลดลงของ *‘ปริมาณสภาพคล่อง’* อย่างชัดเจน
กาเบรียล เซลวี หัวหน้าฝ่ายวิจัยของบริษัท CF Benchmarks ให้ความเห็นว่า บิตคอยน์ยังไม่สามารถทะลุแนวต้านจิตวิทยาที่ 90,000 ดอลลาร์ได้ แม้เศรษฐกิจสหรัฐจะมีการประกาศตัวเลขสำคัญในช่วงนี้ โดยเขาอธิบายว่า *“รูปแบบเทคนิคที่เกิดขึ้นในตอนนี้ชี้ให้เห็นถึงลักษณะ ‘ลิ่มแบบขาลง’ ซึ่งบ่งชี้ถึงความเสี่ยงในภาวะราคาอ่อนตัว”* พร้อมระบุว่า *“ในช่วงเทศกาลสุดท้ายของปีนี้ ปริมาณการซื้อขายดรอปลงอย่างเป็นฤดูกาล ทำให้แนวต้านราคายิ่งชัดเจน”*
จากข้อมูลล่าสุด บิตคอยน์ขยับขึ้น 1.5% ภายใน 24 ชั่วโมง สู่ระดับ 89,127 ดอลลาร์ ขณะที่อีเธอเรียม(ETH) ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย 0.6% มาอยู่ที่ 2,965 ดอลลาร์ (ประมาณ 4.28 แสนบาท) และริปเปิล(XRP) ทรงตัวที่ระดับ 1.87 ดอลลาร์ (ราว 2,704 บาท) พัฒนาเหล่านี้ส่งผลให้มูลค่าตลาดรวมของสกุลเงินดิจิทัลขยับขึ้นเป็น 3.07 ล้านล้านดอลลาร์ (ประมาณ 4.44 พันล้านล้านบาท)
ในฝั่งตลาดหุ้น ก็มีกระแส *‘แรลลีซานตาคลอส’* กลับมาอีกครั้ง โดยเมื่อสองวันก่อน ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้น 0.60% และดัชนี S&P500 ขยับขึ้น 0.32% แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งช่วยกระตุ้น *ความเชื่อมั่นในสินทรัพย์เสี่ยง* ช่วงปลายปี โดยนักลงทุนจำนวนมากยังคงกระจายการลงทุนเข้าหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง
ขณะเดียวกัน ราคาของ ‘เงิน’ พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อยู่ที่ 74.89 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ประมาณ 1.08 แสนบาท) ปัจจัยมาจากความต้องการด้านอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นในภาคยานยนต์ไฟฟ้า, พลังงานแสงอาทิตย์ และดาต้าเซ็นเตอร์ ขณะที่ปริมาณผลิตจากเหมืองยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้เท่าทัน นอกจากนี้ ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์เป็นอีกเหตุผลสำคัญที่นักลงทุนหันกลับมาสนใจ*‘สินทรัพย์ปลอดภัย’* อย่างเงินและทองคำ
ทองคำก็เคลื่อนไหวในลักษณะเดียวกัน โดยซื้อขายที่ระดับประมาณ 4,480 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ราว 6.47 ล้านบาท) ซึ่งเป็นการปรับฐานเล็กน้อยหลังจากแตะจุดสูงสุดใหม่ที่ 4,500 ดอลลาร์ในช่วงไม่นานมานี้ รายงานระบุว่า สหรัฐฯ มีแนวโน้มใช้มาตรการเพิ่มแรงกดดันต่ออุตสาหกรรมน้ำมันของเวเนซุเอลา ซึ่งผู้เชี่ยวชาญมองว่าเป็นปัจจัยเร่งให้ตลาดระมัดระวังความเสี่ยงและหันมาชื่นชอบการถือครองทองคำและเงินมากขึ้น
*ความคิดเห็น:* ท่ามกลางช่วงเวลาที่หลายตลาดหยุดยาว นักลงทุนควรระมัดระวังความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด โดยเฉพาะในกลุ่มคริปโตฯ ที่มีรูปแบบทางเทคนิคซับซ้อนมากขึ้น ขณะที่สินทรัพย์ที่จับต้องได้อย่างทองคำและเงิน กำลังแสดงให้เห็นถึงความสำคัญภายใต้ความไม่แน่นอนเชิงภูมิรัฐศาสตร์ในปัจจุบัน
ความคิดเห็น 0