Back to top
  • 공유 แชร์
  • 인쇄 พิมพ์
  • 글자크기 ขนาดตัวอักษร
ลิงก์ถูกคัดลอกแล้ว

บิตคอยน์(BTC) ทำสถิติทะลุ 126,000 ดอลลาร์ หลังสหรัฐตั้งคลังสำรอง แต่ทรุดหนักไตรมาส 4 จากแรงเทขาย

บิตคอยน์(BTC) กลายเป็นประเด็นร้อนในปี 2025 หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์เข้ารับตำแหน่งและประกาศจัดตั้ง ‘คลังสำรองบิตคอยน์เชิงยุทธศาสตร์’ อย่างเป็นทางการ ส่งผลให้นักลงทุนทั้งสถาบันและรายย่อยแห่เข้าซื้อจนราคาทะยานสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อย่างไรก็ตาม ตลาดกลับพลิกในไตรมาส 4 จากแรงเทขายขนาดใหญ่ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและทำให้ราคาดิ่งลงต่ำกว่าระดับจิตวิทยาสำคัญ

ทรัมป์สร้างแรงหนุนให้ตลาดคริปโตตั้งแต่ต้นปี ด้วยการให้ไฟเขียวสำหรับการจัดตั้ง ‘คลังสำรองบิตคอยน์’ ในระดับรัฐบาลกลาง สหรัฐฯ กลายเป็นชาติแรกที่ประกาศถือครองบิตคอยน์ในลักษณะเดียวกับเงินตราต่างประเทศ การประกาศดังกล่าวกระตุ้นให้นักลงทุนแห่เข้ากองทุน ETF บิตคอยน์แบบสปอต และแม้กระทั่งบางรัฐและบริษัทต่าง ๆ ก็เริ่มถือครองบิตคอยน์โดยตรง ซึ่งความคิดเห็นมองว่าเป็นสัญญาณการเข้าสู่กระแสหลักของคริปโตอย่างชัดเจน

บริษัทหลายแห่งเลือกถือบิตคอยน์ผ่าน ETF เพื่อให้มีความยืดหยุ่น แต่บางบริษัทกลับเดินเกมรุกด้วยการเข้าซื้อโดยตรงและกลายเป็นหนึ่งในบริษัท ‘บิตคอยน์เทรเชอรี่’ (Bitcoin Treasury) ความต้องการกระจายตัวเช่นนี้ช่วยผลักดันให้ราคาบิตคอยน์พุ่งทะลุ 126,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.82 ล้านบาท) ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม และขึ้นแท่นสินทรัพย์มูลค่าสูงสุดอันดับ 5 ของโลก แซงหน้าแม้แต่กูเกิล(GOOG)

อย่างไรก็ตาม ด้านเทคโนโลยี บิตคอยน์ยังมีช่องโหว่ โดยเฉพาะเรื่อง ‘สเกลลิ่ง’ หรือความสามารถในการขยายเครือข่าย แม้จะมีการขยายการใช้งานเลเยอร์ 2 เช่น ไลท์นิ่งเน็ตเวิร์กอย่างต่อเนื่อง แต่ข้อจำกัดเชิงเทคนิคยังไม่ถูกแก้ไขอย่างยั่งยืน อีกทั้งต้นทุนในการขุดที่สูงขึ้นก็กดดันให้บางกลุ่มนักขุดถอนตัว ความคิดเห็นจากนักวิเคราะห์ชี้ว่าภาวะขาดทุนอาจทำให้ระบบความปลอดภัยของเครือข่ายเปราะบางมากขึ้นในระยะยาว

ยิ่งไปกว่านั้น ความสัมพันธ์ระหว่างบิตคอยน์กับตลาดการเงินดั้งเดิ­nเริ่มแนบแน่นขึ้น ส่งผลให้ราคามีความผันผวนตามปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคมากกว่าเดิม ส่งผลให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่สภาพคล่องโลกอยู่ในระดับต่ำ

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม เมื่อเกิดการบังคับขายครั้งใหญ่(Funding Liquidation) มูลค่ารวมกว่า 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 2.74 ล้านล้านบาท) นักลงทุนรายใหญ่และสถาบันพากันถอนตัวออกจากตลาด ส่งผลให้ราคาบิตคอยน์ร่วงลงต่ำกว่าระดับจิตวิทยาที่ 90,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1.3 ล้านบาท) ซึ่งเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2018 ที่บิตคอยน์มีผลตอบแทนเชิงลบในเดือนตุลาคม

ข้อมูลในตลาดระบุว่าบรรยากาศหมีกลับมาอีกครั้ง โดยผลตอบแทนต่อการขุดและผลกำไรของนักลงทุนตกฮวบ หลายคนเริ่มเคลื่อนย้ายเงินกลับไปยังสินทรัพย์ปลอดภัยดั้งเดิมอย่างทองคำ ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญระบุว่า วัฏจักร 4 ปีจากการ ‘ลดรางวัลการขุด’ ที่เคยเป็นตัวขับเคลื่อนราคา อาจไม่มีผลในรอบนี้อีกต่อไป ซึ่งหมายความว่า การฟื้นตัวของบิตคอยน์ในอนาคตอาจขึ้นอยู่กับ ‘ดีมานด์’ ที่แท้จริง และสถานการณ์ด้านสภาพคล่องของโลกเป็นหลัก

ท้ายที่สุด นักลงทุนอาจต้องจับตามองข้อมูลการซื้อจากสถาบัน และการไหลเวียนของเงินทุนในกองทุน ETF ซึ่งอาจเป็นตัวบ่งชี้ทิศทางใหม่ของตลาดคริปโตในยุคที่บิตคอยน์ไม่ใช่เพียงแค่ ‘การทดลองสกุลเงินทางเลือก’ แต่กลายเป็นสินทรัพย์กระแสหลักเต็มตัวแล้ว.

<ลิขสิทธิ์ ⓒ TokenPost ห้ามเผยแพร่หรือแจกจ่ายซ้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต>

บทความที่มีคนดูมากที่สุด

บทความที่เกี่ยวข้อง

ความคิดเห็น 0

ข้อแนะนำสำหรับความคิดเห็น

ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ ต้องการบทความติดตามเพิ่มเติม เป็นการวิเคราะห์ที่ยอดเยี่ยม

0/1000

ข้อแนะนำสำหรับความคิดเห็น

ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ ต้องการบทความติดตามเพิ่มเติม เป็นการวิเคราะห์ที่ยอดเยี่ยม
1