กระแสความสนใจจากสถาบันการเงินและบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ต่อบิตคอยน์(BTC)และอีเธอเรียม(ETH)ยังคงเพิ่มสูงขึ้น โดยมีความเป็นไปได้ว่าภายในปี 2026 หนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอย่างกูเกิล, เมตา หรือแอปเปิล อาจเปิดตัวหรือเข้าซื้อกิจการกระเป๋าคริปโต หนุนให้ผู้ใช้งานจำนวนมหาศาลเข้าสู่โลกของสินทรัพย์ดิจิทัลได้รวดเร็ว ขณะเดียวกัน สถาบันการเงินระดับโลกยังคงทดลองใช้บล็อกเชนแบบส่วนตัว แต่ในขอบเขตจำกัด และนักวิเคราะห์ชี้ว่าเครือข่ายใหม่โดยฟินเทคยังไม่น่าจะท้าทายตำแหน่งผู้นำของอีเธอเรียมและโซลานา(SOL)ได้ในเร็ววัน
เมื่อเร็วๆ นี้ ฮาซิบ คูเรชี(Haseeb Qureshi) ผู้บริหารจากบริษัทลงทุนด้านคริปโต ดรากอนฟลาย(Dragonfly) คาดการณ์ผ่านแพลตฟอร์ม X ว่า *‘บริษัทเทคยักษ์ใหญ่อย่างน้อยหนึ่งราย มีแนวโน้มจะเข้าสู่ตลาดกระเป๋าคริปโตภายในปี 2026’* โดยระบุว่ากูเกิล, เมตา และแอปเปิล เป็นผู้เล่นที่มีโอกาสสูง คูเรชีให้เหตุผลว่า การเข้าสู่ตลาดนี้ของเทคยักษ์เหล่านี้ อาจเร่งการยอมรับคริปโตของ ‘ผู้ใช้จำนวนหลายพันล้านคน’ และทำให้แอปคริปโตดั้งเดิมสูญเสียบทบาท
นอกจากนี้ คูเรชายังมองว่า สถาบันการเงินและฟินเทคจะเริ่มใช้โครงสร้างพื้นฐานแบบบล็อกเชนมากขึ้น เช่น โมดูลาร์เชนอย่างอวาลานเช(AVAX) หรือเทคโนโลยี OP Stack และ ZK Stack ซึ่งสามารถนำไปสร้างเครือข่ายแบบ ‘กึ่งเปิด’ โดยในระยะยาวระบบเหล่านี้อาจมีบทบาทในการประมวลผลธุรกรรมผ่านบล็อกเชนแบบเปิด
ด้านธนาคารขนาดใหญ่และบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น เจพีมอร์แกน, แบงก์ออฟอเมริกา, โกลด์แมน แซคส์ และ IBM ต่างเริ่มทดสอบระบบบล็อกเชนแบบปิดแล้ว แต่โครงการเหล่านี้ยังอยู่ในขั้นตอนทดลองเท่านั้น ทำให้การใช้งานจริงในเชิงพาณิชย์ยังต้องใช้เวลาอีกพอสมควร บริษัทแกล럭ซีดิจิทัล(Galaxy Digital) ระบุว่า *‘ในไม่เกินปี 2026 อาจมีธนาคารจากรายชื่อ Fortune 500 หรือบริษัทเทคขนาดใหญ่เปิดตัวบล็อกเชนเลเยอร์ 1 ที่สามารถรองรับกิจกรรมเศรษฐกิจจริงได้ในขนาด 1 หมื่นล้านดอลลาร์’*
อย่างไรก็ดี คูเรชีไม่เชื่อว่าเครือข่ายใหม่จากภาคฟินเทคจะสามารถแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดจากอีเธอเรียมและโซลานาได้ง่ายๆ โดยเขาชี้ว่า บล็อกเชนเลเยอร์ 1 ที่ฟินเทคผลิตขึ้นนั้นยังมี ‘ความเคลื่อนไหวต่ำ’ และ ‘ปริมาณการใช้งานเชิงพาณิชย์น้อย’ ไม่ว่าจะเป็นการใช้สเตเบิลคอยน์หรือการทำธุรกรรมที่มีหลักทรัพย์หนุนหลัง คูเรชียังให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า *‘นักพัฒนาและผู้ใช้งานมักเลือกโครงสร้างที่เป็นกลางและสนับสนุนคริปโตอย่างแท้จริง’* ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้อีเธอเรียมและโซลานาจะยังคงสถานะผู้นำในระยะยาว
ในฝั่งตลาด คูเรชียังคาดการณ์ว่าบิตคอยน์อาจแตะระดับ 150,000 ดอลลาร์ หรือราว 5.4 ล้านบาทในช่วงปลายปี 2026 แต่ *‘อิทธิพลของบิตคอยน์ในตลาดรวมอาจลดลง’* เพราะเงินทุนจะเริ่มไหลเข้าสู่สินทรัพย์คริปโตประเภทอื่นมากขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาดโดยรวม
บริษัทแกล럭ซีดิจิทัลมองภาพรวมในมุมที่กว้างกว่า โดยคาดว่า *‘ปี 2026 จะกลายเป็นปีแห่งความผันผวน’* และบิตคอยน์อาจมีมูลค่าปิดตลาดต่อปีอยู่ในช่วง ‘ระหว่าง 50,000 ถึง 250,000 ดอลลาร์’
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ ตลาดสเตเบิลคอยน์ที่ปัจจุบันมีมูลค่ารวมอยู่ที่ประมาณ 312,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 451 ล้านล้านบาท คาดว่าจะเติบโตราว 60% ภายในปีหน้า และอาจเห็นการปรับตัวของส่วนแบ่งตลาด โดย *‘เทเธอร์(USDT) อาจเห็นสัดส่วนลดลงจาก 60% เหลือ 55%’* ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการแข่งขันและการเปลี่ยนแปลงภายในตลาดนี้
*ความคิดเห็น:* ปี 2026 อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เทคโนโลยีบล็อกเชนกลายเป็นระบบหลักในโลกการเงิน ซึ่งเทคยักษ์และธนาคารรายใหญ่จะเป็นผู้นำในการผลักดัน และหากแนวโน้มนี้เป็นจริง ตลาดคริปโตจะเข้าสู่ยุคใหม่ที่มีความแพร่หลายและการใช้งานจริงในระดับมหภาคมากยิ่งขึ้น
ความคิดเห็น 0