ซีเซลี ลาโมเต(Sicely LaMothe) รองผู้อำนวยการฝ่ายการเงินองค์กรของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ(SEC) ประกาศลาออกอย่างเป็นทางการ หลังดำรงตำแหน่งมานานกว่า 24 ปี โดยเธอได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ SEC ที่มีจุดยืน ‘หนุนคริปโต(Pro-Crypto)’ และเคยมีบทบาทสำคัญในการวางแนวทางกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลของหน่วยงาน
ลาโมเต เข้าร่วมงานกับ SEC ตั้งแต่ปี 2002 และนับตั้งแต่ปี 2022 เธอดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการฝ่ายเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ โดยตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา เธอมีบทบาทผลักดันการออก ‘แนวทางปฏิบัติเจ้าหน้าที่(CF Staff Statement)’ ของ SEC ถึง 7 ฉบับ ซึ่งครอบคลุมประเด็นสำคัญเกี่ยวกับคริปโตอย่าง สเตเบิลคอยน์, การลิควิดสเตกกิ้ง, การขุด, มิมคอยน์, และกองทุน ETF ด้านคริปโต ซึ่งล้วนมีบทบาทวางมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลสำหรับบริษัทในตลาด
ในแถลงการณ์จาก SEC ลาโมเตระบุว่า การได้ทำงานรับใช้ประชาชนในนามหน่วยงานรัฐบาลกลางเป็น “เกียรติอย่างยิ่ง” และเธอได้เรียนรู้จากทั้งความท้าทายและเพื่อนร่วมงานที่มุ่งมั่นตลอดเส้นทางอาชีพที่ผ่านมา
นอกจากการกำกับดูแลคริปโต ลาโมเตยังมีบทบาทในด้านการตีความข้อกำหนดการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทอย่างกว้างขวาง โดยเธอเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเอกสารเชิงนโยบายมากกว่า 25 ฉบับ ซึ่งเกี่ยวข้องกับแนวทางการเปิดเผยข้อมูลสำหรับกรณีโครงสร้าง ‘ดีสแพก(De-SPAC)’, มาตรการ ‘เรียกคืนผลประโยชน์(Clawback)’ และแผนการทำธุรกรรมของผู้บริหารภายใต้กฎ 10b5-1 เป็นต้น นอกจากนี้ เธอยังทำให้ขั้นตอนพิจารณาข้อมูลการเข้าจดทะเบียนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
ลาโมเตเคยมีบทบาทในคดีที่เกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนของ ทรอน(TRX) ผ่านการควบรวมกับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นแนสแดก เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยสมาชิกสภาคองเกรสจากพรรคเดโมแครต ได้แก่ เจฟฟ์ เมอร์คลีย์ และ ฌอน แคสตัน ได้ส่งจดหมายสอบถามต่อเธอและประธาน SEC คนปัจจุบัน พอล แอตกินส์(Paul Atkins) ถึงความเหมาะสมในการอนุมัติการเข้าตลาดของทรอน รวมถึงตั้งข้อสังเกตว่า จัสติน ซัน ผู้ก่อตั้งทรอน มีบทบาทต่อการเปิดตัวโปรเจกต์ ‘World Liberty Financial’ และ ‘เหรียญมีมทางการเมืองของทรัมป์’ ซึ่งอาจโยงใยทางการเมืองและเสี่ยงต่อความมั่นคงของประเทศ
การลาออกของลาโมเต เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ SEC ภายใต้การนำของแอตกินส์ กำลังปรับเปลี่ยนแนวทางด้านนโยบายอย่างมีนัยสำคัญ โดยหลังจากประธานคนก่อนหน้า เกรี เกนส์เลอร์(Gary Gensler) ลาออกเมื่อเดือนเมษายน SEC ได้เปลี่ยนจากแนวทาง ‘เน้นการดำเนินคดี’ มาเป็น ‘ส่งเสริมการปรับตัวด้วยตัวเอง’ ซึ่งสะท้อนผ่านการยุติคดีฟ้องร้องเกือบ 60% ที่เกี่ยวข้องกับคริปโตในปี 2025 รวมถึงการระงับคดีต่อผู้ให้บริการรายใหญ่อย่าง คอยน์เบส, ไบนานซ์ และ แครเคน
ตามแนวทางใหม่ SEC ยอมรับว่า ‘โทเคนส่วนใหญ่’ ไม่ถือเป็นหลักทรัพย์ และสนับสนุนการซื้อขาย ‘โทเคนที่มีสิทธิทางกฎหมายเหมือนสินทรัพย์อื่น’ อีกทั้งยังเตรียมเปิดใช้นโยบาย ‘นวัตกรรมยกเว้น(Innovation Exemption)’ ภายในช่วงปลายปี ซึ่งจะเปิดทางให้สตาร์ทอัพสายบล็อกเชนสามารถทดลองใช้โมเดลธุรกิจโดยไม่ต้องเผชิญกับภาระทางกฎหมายทันที
ทั้งนี้ การลาออกของลาโมเต สอดคล้องกับแนวโน้มการปรับโครงสร้างบุคลากรภายใน SEC โดย *Reuters* รายงานว่า ณ เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา พนักงานประจำขององค์กรราว 19% ได้ยุติการทำงานลง ส่งผลให้นักการเมืองอย่าง แม็กซีน วอร์เทอร์ส ส.ส. พรรคเดโมแครต ออกมาเรียกร้องให้มีการเปิดเผยข้อมูลและจัดประชาพิจารณ์เกี่ยวกับความสามารถในการรักษาทรัพยากรบุคลากรของหน่วยงานกำกับดูแลแห่งนี้
*ความคิดเห็น*: การเปิดทางของ SEC ต่อระบบ ‘โทเคนไม่ใช่หลักทรัพย์’ และการผ่อนคลายแนวทางการบังคับใช้กฎหมาย ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกสำหรับอุตสาหกรรมคริปโตในสหรัฐฯ โดยเฉพาะต่อโครงการใหม่ที่ต้องการเข้าสู่ตลาดด้วยความมั่นใจยิ่งขึ้นจากการส่งเสริมด้านนโยบายมากกว่าการลงโทษ
ความคิดเห็น 0