เทคโนโลยีเปลี่ยนโลกอาจไม่ได้นำมาซึ่ง ‘ผลกำไร’ ที่คาดหวังเสมอไป โดยเฉพาะในมุมของนักลงทุน ซึ่งเป็นแนวคิดที่กำลังได้รับความสนใจอีกครั้งในวงการคริปโตในปีนี้ โดยมีการเปรียบเทียบกับฟองสบู่ในอดีต อย่างกรณีของอุตสาหกรรมจักรยานในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ที่เริ่มต้นอย่างน่าตื่นตา แต่จบลงด้วยความเจ็บปวด
ย้อนกลับไปในทศวรรษ 1880 จักรยานถูกพัฒนาให้ปลอดภัยและสะดวกยิ่งขึ้น ผ่านนวัตกรรมอย่างโครงเพชร ระบบขับเคลื่อนล้อหลังแบบโซ่ และยางลมส่งผลให้อุตสาหกรรมจักรยานเติบโตอย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น ในปี 1889 เมืองเบอร์มิงแฮมมีผู้ผลิตจักรยาน 72 ราย แต่เพิ่มขึ้นเป็น 177 รายในปี 1895 ความคาดหวังสูงส่งผลให้มูลค่าหุ้นบริษัทจักรยานในอังกฤษพุ่งขึ้น 258% ภายใน 5 เดือนในปี 1896 และมีบริษัทหน้าใหม่ถึง 670 รายเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นระดับภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม การขยายตัวอย่างไร้ทิศทางกลับนำไปสู่ความล้มเหลว บริษัทจำนวนมากไม่สามารถสร้างรายได้จริงได้ เช่น บริษัทแอคเคิลส์(Accles Ltd.) ซึ่งระดมทุนได้ถึง 135,000 ปอนด์ แต่สร้างรายได้จริงเพียง 71 ปอนด์ก่อนล้มละลายในเวลาไม่ถึง 2 ปี ราคาหุ้นจักรยานตกลงกว่า 70% ภายในปี 1898 นักลงทุนจำนวนมากสูญเสียเงินทุนไปอย่างมาก
แม้จะจบลงด้วยภาวะฟองสบู่ แต่ยุคนั้นกลับวางรากฐานให้กับอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นยางรถยนต์ เครื่องจักร หรือแม้กระทั่งอุตสาหกรรมยานยนต์ ในอีกแง่หนึ่ง วิกฤตินี้ยังจุดประกายการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่อง ‘เสรีภาพของสตรี’ ผู้หญิงสามารถเดินทางด้วยตนเองผ่านจักรยาน ซึ่งลดข้อจำกัดทางสังคมได้อย่างมาก และยังนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงด้านเครื่องแต่งกายจากคอร์เซ็ตกระชับแน่นเป็นเสื้อผ้าที่สะดวกสบายมากขึ้น นักเคลื่อนไหวอย่างซูซาน บี. แอนโธนีถึงกับกล่าวว่า “จักรยานเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในขบวนการปลดปล่อยสตรี”
วอร์เรน บัฟเฟตต์เคยเตือนในปี 1999 ว่า ‘เทคโนโลยีที่ปฏิวัติโลก’ ไม่ได้มีความหมายว่าผลตอบแทนจะตกอยู่กับนักลงทุน เขายกตัวอย่างว่า ผู้ผลิตรถยนต์ในอเมริกาเคยมีมากถึง 2,000 ราย แต่เหลือรอดเพียง 3 ราย รวมถึงอุตสาหกรรมการบินที่หากวัดกำไรโดยรวมสูงมาก แต่ผู้ถือหุ้นมักขาดทุน แนวคิดนี้ได้รับการพิสูจน์อีกครั้งในการล่มสลายของฟองสบู่อินเทอร์เน็ตในช่วงปี 2000 อินเทอร์เน็ตได้เปลี่ยนวิธีที่ผู้คนใช้ชีวิตอย่างสิ้นเชิง แต่ในทางกลับกัน นักลงทุนจำนวนมากต้องเผชิญความสูญเสียอย่างหนัก
ในปัจจุบัน อุตสาหกรรมคริปโตและปัญญาประดิษฐ์(AI) อาจกำลังเดินซ้ำรอย ความหวังจำนวนมากถูกฝังไว้ในเทคโนโลยีเหล่านี้ ตลาดคริปโตปีนี้มีปัจจัยบวกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นท่าทีที่เปลี่ยนไปในทางบวกของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์สหรัฐ(SEC), การผ่านกฎหมาย 'Genius Act' เพื่อรับรองสถานะของเหรียญสเตเบิลคอยน์ หรือกระแสการใช้ตลาดทำนาย(Prediction Markets) ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น ส่งผลให้ภาคการเงินดั้งเดิมเริ่มให้ความสนใจ แต่ราคาของเหรียญส่วนใหญ่กลับยังไม่สะท้อนการเติบโตดังกล่าว
‘คำ’ อธิบายอย่างหนึ่งคือ คาดหวังล่วงหน้าเร็วเกินไป ‘ความคิดเห็น’ หนึ่งที่ได้รับความสนใจมากขึ้นคือ เทคโนโลยีคริปโตแม้จะสามารถสร้างคุณค่าให้แก่ระบบเศรษฐกิจได้อย่างแท้จริง แต่อาจไม่ได้ส่งกลับไปยังผู้ถือเหรียญ ยกตัวอย่างเช่น การเร่งใช้ ‘โทเคนไรซ์(tokenization)’ เพื่อแปลงสินทรัพย์บนเชน แม้จะมีศักยภาพสูง แต่ถ้ากลุ่มที่ได้ประโยชน์คือผู้เล่นรายใหญ่ อย่าง โรบินฮู้ด, แบล็คร็อก และ DTCC นักเทรดคริปโตทั่วไปอาจไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรเท่าไหร่
อีกกรณีคือ ‘เทคโนโลยีการพิสูจน์แบบไม่เปิดเผยข้อมูล’ (Zero-Knowledge Proof) ซึ่งคือการยืนยันข้อมูลโดยที่ไม่เปิดเผยข้อมูลจริง เป็นสิ่งที่สำคัญมากในยุค AI แต่เทคโนโลยีนี้สามารถใช้งานได้โดยไม่จำเป็นต้องมีเหรียญในระบบ ซึ่งหมายความว่ามันไม่สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน
ความย้อนแย้งนี้อาจมีรากฐานมาจากจุดเริ่มต้นของคริปโตเองซึ่งมุ่งเน้น ‘การลบตัวกลางทางการเงิน’, ‘ความเปิดกว้าง’, และ ‘การกระจายอำนาจ’ ซึ่งในกระบวนการสร้างผลกระทบนั้น ไม่มีโมเดลรายได้ที่สอดรับสำหรับผู้ถือครองเหรียญ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ‘ผลประโยชน์ไม่ได้ย้อนกลับมาหาผู้สนับสนุนเริ่มต้น’
ตลอดปีนี้ แม้หลายเหรียญจะมีราคาลดลง ความคืบหน้าเชิงเทคโนโลยีกลับทำได้ดีกว่าที่คาดไว้ เป็นอีกตัวอย่างของความขัดแย้งระหว่าง ‘คุณประโยชน์ทางสังคม’ กับ ‘กำไรทางการเงินส่วนบุคคล’ ซึ่งอาจเตือนให้นักลงทุนระมัดระวังว่า ‘เทคโนโลยีที่ดี’ ไม่จำเป็นต้องเท่ากับ ‘การลงทุนที่ดี’ เสมอไป
ความคิดเห็น 0