ทำเนียบขาวประกาศอย่างชัดเจนว่า ‘บิตคอยน์(BTC)’ เป็นทรัพย์สินเชิงกลยุทธ์ของชาติอีกครั้ง เมื่อวันที่ 9 ทำเนียบขาวได้เผยแพร่แถลงการณ์ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียอย่างเป็นทางการ โดยเน้นย้ำว่า “สหรัฐฯ จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านบิตคอยน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก” พร้อมกล่าวถึงคำสั่งฝ่ายบริหารที่ลงนามโดยประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งเป็นการก่อตั้งกองทุนสำรองบิตคอยน์ของประเทศ
คำประกาศนี้มีขึ้นเพียงสามวันหลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารดังกล่าว โดยมาตรการนี้ไม่ได้มุ่งเน้นให้รัฐบาลสหรัฐฯ ซื้อบิตคอยน์เพิ่ม แต่เป็นการรักษาบิตคอยน์ที่ถูกยึดมาไว้ในกองทุนสำรอง ซึ่งนำไปสู่ความผิดหวังของนักลงทุนที่คาดหวังว่ารัฐบาลจะเดินหน้าซื้อสินทรัพย์ดิจิทัลเพิ่มเติม
ในปัจจุบัน สหรัฐฯ ถือครองบิตคอยน์จำนวนมาก โดยส่วนหนึ่งมาจากการยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์แฮ็กบิตฟิเน็กซ์(Bitfinex) ในปี 2022 อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ที่บิตคอยน์เหล่านี้อาจถูกคืนแก่ผู้เสียหาย ส่งผลให้เกิดการถกเถียงเกี่ยวกับแนวทางบริหารจัดการกองทุนสำรองดังกล่าว
กระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ ได้รับมอบหมายให้วางกลยุทธ์ขยายกองทุนสำรองภายใต้เงื่อนไข ‘งบประมาณเป็นกลาง’ กล่าวคือ ต้องหาทางเพิ่มปริมาณบิตคอยน์โดยไม่สร้างภาระทางการเงินเพิ่มเติม เจฟฟ์ เคนดริก นักวิเคราะห์อาวุโสจากสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด(Standard Chartered) เสนอว่ารัฐบาลควรขายทองคำ(Gold) ส่วนหนึ่งเพื่อนำเงินมาซื้อบิตคอยน์ อย่างไรก็ตาม เดวิด แซ็กส์ ผู้ประสานงานด้านสินทรัพย์ดิจิทัลของทำเนียบขาว ระบุว่า ยังไม่มีแผนขายทองคำในตอนนี้ และเรื่องดังกล่าวยังต้องหารือเพิ่มเติม
นอกจากการก่อตั้งกองทุนสำรองแล้ว รัฐบาลทรัมป์ยังผลักดันให้มีการเร่งกระบวนการออกกฎหมายเกี่ยวกับคริปโต โดยตั้งเป้าว่าจะให้สภาคองเกรสผ่านร่างกฎหมายเกี่ยวกับสเตเบิลคอยน์และสินทรัพย์ดิจิทัลก่อนช่วงปิดสมัยประชุมในเดือนสิงหาคม ทั้งนี้ ในการประชุมสุดยอดคริปโตเมื่อเร็วๆ นี้ ทรัมป์ได้ตำหนินโยบายต่อต้านคริปโตของรัฐบาลไบเดน(Crypto-hostile policy) และส่งสัญญาณถึงแนวทางผ่อนคลายกฎระเบียบ
การประชุมครั้งนี้มีบุคคลสำคัญในอุตสาหกรรมเข้าร่วม เช่น ไบรอัน อาร์มสตรอง ซีอีโอของคอยน์เบส(Coinbase), ไมเคิล เซย์เลอร์ ประธานของไมโครสเตรทจี(MicroStrategy) และฝาแฝดวิงเคิลวอสส์ ซึ่งต่างแสดงความคาดหวังต่อทิศทางที่เป็นมิตรต่อคริปโตในสหรัฐฯ ขณะที่คอยน์เบสประกาศแผนขยายทีมงานในประเทศเพิ่มขึ้นอีกกว่า 1,000 ตำแหน่ง
ขณะเดียวกัน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (SEC) ก็เริ่มแสดงท่าทีอ่อนลงต่อบริษัทคริปโต หลังจากทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง โดยมีการชะลอหรือยุติคดีความกับบริษัทต่างๆ และเดินหน้าแก้ไขปัญหาการกำหนดสถานะทางกฎหมายของสินทรัพย์ดิจิทัล
นักวิเคราะห์ในอุตสาหกรรมมองว่าความเคลื่อนไหวล่าสุดของรัฐบาลสหรัฐฯ จะส่งผลเชิงบวกต่อตลาดคริปโตในระยะยาว โดยเฉพาะหากกองทุนสำรองบิตคอยน์มีแนวทางดำเนินที่ชัดเจนขึ้น และกฎระเบียบเกี่ยวกับคริปโตได้รับการกำหนดอย่างแน่นอน จะทำให้นักลงทุนสถาบันเข้าสู่ตลาดมากขึ้น
ความคิดเห็น 0