การที่ ‘ประธานาธิบดีทรัมป์’ ประกาศนโยบายภาษีศุลกากรและจีนตอบโต้ด้วยมาตรการทางเศรษฐกิจ ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับตลาดการเงินโลก ส่งผลให้ราคาบิตคอยน์(BTC) และคริปโตเคอเรนซีอื่นๆ ร่วงลงอย่างรวดเร็ว
เมื่อวันที่ 10 (เวลาท้องถิ่น) ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดตัวลงโดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วง 890 จุด (-2.08%) ปิดที่ 41,911 จุด ขณะที่ดัชนีแนสแด็กดิ่งลงถึง 4.00% ส่งผลให้หุ้นที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอเรนซีเผชิญแรงขายอย่างหนัก หุ้น ‘คอยน์เบส’ ร่วง 17.5% และ ‘ไมโครสตราเทจี’ ก็ปรับตัวลง 16.6%
ความกังวลที่เพิ่มมากขึ้นได้ลุกลามมาถึงตลาดคริปโตเคอเรนซี บิตคอยน์สูญเสียแนวรับที่ 80,000 ดอลลาร์ และร่วงลงมาที่ 79,434 ดอลลาร์ ลดลง 3.6% สกุลเงินดิจิทัลชั้นนำอื่นๆ ก็เผชิญแรงขายเช่นกัน อีเธอเรียม(ETH) ลดลง 9.1% ริปเปิล(XRP) ร่วง 5.9% และโซลานา(SOL) ปรับตัวลดลง 5.5%
นอกจากนี้ ปริมาณการ ‘ล้างพอร์ต’ ในตลาดคริปโตเคอเรนซียังเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยนับตั้งแต่ปลายกุมภาพันธ์จนถึงต้นมีนาคม มีการปิดสถานะเลเวอเรจในปริมาณมาก ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาบิตคอยน์เกิดความผันผวนมากขึ้น
ต้นตอของแรงเทขายมาจาก ‘การตอบโต้ของจีน’ ที่ได้ประกาศภาษีศุลกากรตอบโต้สินค้านำเข้าจากสหรัฐ ซึ่งส่งผลให้ความขัดแย้งด้านการค้าเพิ่มความตึงเครียด อีกทั้งท่าทีของ ‘ประธานาธิบดีทรัมป์’ ที่ไม่ได้ปฏิเสธโอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีนี้ ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนอ่อนแอลง ดัชนี S&P500 และแนสแด็กเผชิญการร่วงลงที่แรงที่สุดของปี
แม้ว่าทรัมป์จะวางแผนผลักดัน ‘นโยบายภาษีตอบโต้’ ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน เพื่อจัดการกับความไม่สมดุลทางการค้า แต่เนื่องจากรายละเอียดที่ไม่ชัดเจน ยิ่งเป็นปัจจัยเพิ่มความไม่แน่นอนในตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่รัฐบาลทรัมป์เคยยกเลิกและกลับมาใช้ภาษี 25% ต่อเม็กซิโกและแคนาดาก่อนหน้านี้ นักลงทุนจึงเพิ่มความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น
อีกด้านหนึ่ง ที่ประชุม ‘สัมมนาด้านคริปโตเคอเรนซีของทำเนียบขาว’ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ได้ระบุว่ายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับ ‘นโยบายสำรองบิตคอยน์เชิงยุทธศาสตร์’ ส่งผลให้กระแสคาดหวังต่อการที่รัฐบาลสหรัฐจะเข้าซื้อบิตคอยน์เป็นจำนวนมากลดลง ความไม่แน่นอนทางกฎหมายและข้อจำกัดจากสภาคองเกรสยิ่งกระตุ้นแรงขายของนักลงทุน
‘อาเธอร์ เฮย์ส(Arthur Hayes)’ ผู้ร่วมก่อตั้งบิทเม็กซ์ ให้ความเห็นว่า บิตคอยน์อาจได้รับการสนับสนุนให้อยู่เหนือระดับ 70,000 ดอลลาร์ปลายๆ เขามองว่าการปรับฐานในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของ ‘รอบขาขึ้น’ ตามปกติ พร้อมแนะนำว่าหากราคาปรับลดลงไปอีก อาจเป็น ‘โอกาสซื้อสำคัญ’ โดยเฉพาะเมื่อตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางทั่วโลกจะกลับมาดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ทิศทางในอนาคตของบิตคอยน์และตลาดคริปโตเคอเรนซี ยังคงขึ้นอยู่กับ ‘ภาวะเศรษฐกิจโลกและปัจจัยด้านนโยบาย’ ซึ่งอาจเป็นตัวกำหนดแนวโน้มในช่วงถัดไป
ความคิดเห็น 0