บิตคอยน์(BTC) ราคาพุ่งขึ้นกว่า 4% ภายใน 24 ชั่วโมงเมื่อวันที่ 20 ทะลุระดับ 86,000 ดอลลาร์ และเคยแตะระดับสูงสุดที่ 87,470 ดอลลาร์ ส่งผลให้นักลงทุนบางส่วนเริ่มเทขายทำกำไร โดยปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนการปรับตัวขึ้นในครั้งนี้มาจากท่าทีเชิงผ่อนคลายของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) และการสะสมบิตคอยน์ที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนระยะยาว
เมื่อวันดังกล่าว คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด(FOMC) มีมติคงอัตราดอกเบี้ย แต่ยังคงคาดการณ์ว่าจะปรับลดดอกเบี้ยสองครั้งในปีนี้ นอกจากนี้ เจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด ยังกล่าวว่า "ความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยไม่ได้สูงมาก" ซึ่งทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนดีขึ้น ประกอบกับเฟดปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจและกระตุ้นตลาดตราสารหนี้ ทำให้ตลาดคาดว่า ต้นทุนการกู้ยืมจะลดลง ซึ่งเอื้อต่อสินทรัพย์เสี่ยงอย่างบิตคอยน์
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ยังเพิ่มแรงกดดันให้เฟดลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งตลาดประเมินว่า รัฐบาลทรัมป์อาจใช้มาตรการนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นในอนาคต ซึ่งอาจส่งผลเชิงบวกต่อแนวโน้มราคาบิตคอยน์
อีกหนึ่งปัจจัยที่น่าสนใจคือ การสะสมบิตคอยน์ที่เพิ่มขึ้นจากนักลงทุนระยะยาว(LTH) โดยค่า ‘Binary Spending Indicator’ ส่งสัญญาณอ่อนตัวลง ขณะที่ปริมาณถือครองของนักลงทุนระยะยาวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้แรงขายในตลาดลดลง โดยปกติแล้ว ในช่วงตลาดกระทิง การขายของนักลงทุนระยะยาวมักถูกดูดซับโดยแรงซื้อจากตลาด ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวกำลังเกิดขึ้นในครั้งนี้
ด้านปัจจัยทางเทคนิค บิตคอยน์ยังคงเคลื่อนไหวตามแนวโน้มขาขึ้น โดยอยู่ในช่องแนวโน้มขาขึ้นตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม และได้ทดสอบแนวรับสำคัญถึงสามครั้ง ก่อนดีดกลับขึ้นมากว่า 7% ปัจจุบันกำลังทดสอบแนวต้านที่ 87,830 ดอลลาร์ หากไม่สามารถทะลุผ่านไปได้ อาจปรับฐานลงมาที่ 83,900 ดอลลาร์ และหากร่วงลงต่อ แนวรับถัดไปจะอยู่ที่ 82,400 ดอลลาร์
ผู้เชี่ยวชาญมองว่า หากบิตคอยน์สามารถดูดซับแรงขายและรักษาแนวโน้มขาขึ้นต่อไป อาจมีโอกาสปรับตัวขึ้นอีกในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ด้วยความผันผวนที่ยังคงสูง นักลงทุนควรใช้กลยุทธ์การลงทุนอย่างรอบคอบ
ความคิดเห็น 0