โจ ลูบิน ผู้ร่วมก่อตั้งอีเธอเรียม(ETH) ได้เน้นย้ำถึงบทบาทของเครือข่าย ‘เลเยอร์ 2’(L2) ในอนาคตของอีเธอเรียม โดยเขาระบุระหว่างการให้สัมภาษณ์กับ Cointelegraph ในงาน Digital Asset Summit (DAS) ว่า ระบบนิเวศของอีเธอเรียมเติบโตมากพอที่เทคโนโลยีใหม่อย่างฐานข้อมูลแบบกระจายศูนย์และโซลูชัน L2 จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ลูบินกล่าวว่า “อีเธอเรียมมีระบบความปลอดภัยที่แข็งแกร่งและเครือข่ายที่มั่นคง ซึ่งเปิดโอกาสให้ L2 สามารถพัฒนาไปได้ไกลขึ้น” พร้อมเสริมว่า “เราดำเนินงาน ‘ลีเนีย(Linea)’ เป็นโซลูชันของเราเอง และในไม่ช้าจะได้เห็น ‘เมกะETH’ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม L2 ที่ล้ำสมัย”
อย่างไรก็ตาม มีข้อกังวลว่าเครือข่าย L2 อาจกระทบต่อมูลค่าเศรษฐกิจของอีเธอเรียม ตามข้อมูลจาก L2Beat ปัจจุบันมีโซลูชัน L2 ที่ทำงานอยู่บนอีเธอเรียมกว่า 140 แห่ง และกว่า 60 เครือข่ายใช้เทคโนโลยีโรลอัป นักลงทุนบางส่วนกังวลว่า L2 อาจเป็น ‘ปรสิตทางเศรษฐกิจ’ ที่ทำให้อีเธอเรียมสร้างรายได้น้อยลง
หลังจากการอัปเกรด ‘เดนคุน(Dencun)’ ที่เกิดขึ้นในเดือนมีนาคม ค่าธรรมเนียมก๊าซเฉลี่ยบนอีเธอเรียมลดลงถึง 95% ส่งผลให้รายได้จากเครือข่าย L1 ลดลง 99% จนถึงเดือนกันยายน ความสามารถในการทำกำไรที่ลดลงนี้ยังทำให้ราคาของอีเธอเรียมปรับตัวลดลง โดยเมื่อวันที่ 11 มีนาคม ราคาลดลงไปแตะระดับ 1,759 ดอลลาร์
นอกจากนี้ กองทุน ETF ของอีเธอเรียมยังเผชิญกระแสเงินทุนไหลออกติดต่อกัน 11 วัน โดยเมื่อวันที่ 13 มีนาคม มีเงินทุนไหลออกสูงถึง 73.6 ล้านดอลลาร์(ประมาณ 1,075 พันล้านวอน) สะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุน ผู้เชี่ยวชาญมองว่าความไม่แน่นอนของตลาดคริปโตในปัจจุบันทำให้อีเธอเรียมต้องหาสมดุลระหว่างเครือข่าย L1 และ L2 เพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาในอนาคต
ความคิดเห็น 0