นโยบายเก็บภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์ส่งผลกระทบอย่างหนักต่ออุตสาหกรรมคริปโต เหล่าบริษัทที่เกี่ยวข้องทั้งตลาดซื้อขายและการขุดบิตคอยน์(BTC)ต่างได้รับแรงกดดัน จนทำให้แผนการเข้าตลาดหลักทรัพย์ของบางบริษัทต้องหยุดชะงัก
เมื่อวันที่ 2 ทรัมป์ประกาศว่าจะจัดเก็บภาษีนำเข้าขั้นต่ำ 10% กับสินค้าทุกประเภท และยังขู่ว่าจะเก็บภาษีตอบโต้กับอีก 57 ประเทศ ทำให้ตลาดการเงินทั่วโลกเกิดความผันผวน ดัชนี S&P500 และแนสแด็กของสหรัฐร่วงลงประมาณ 10% สะท้อนแรงกระเพื่อมที่ชัดเจน
แม้แต่บริษัทที่มีความผูกพันกับวงการคริปโตอย่างโคอินเบส(COIN) ซึ่งเคยให้การสนับสนุนทรัมป์อย่างเปิดเผยในช่วงเลือกตั้ง ก็ไม่อาจหลีกหนีผลกระทบได้ โดยราคาหุ้นร่วงลงเกือบ 12% หลังประกาศนโยบาย ด้าน ETF ขุดบิตคอยน์ขนาดใหญ่ CoinShares Crypto Miners ETF(WGMI) ก็ปรับตัวลดลง 13% ในช่วงเวลาเดียวกัน
แม้แต่ไมโครสเตรทิจี(MSTR) บริษัทวางกลยุทธ์การเติบโตอย่างต่อเนื่อง ก็เผชิญแรงเทขาย โดยข้อมูลจาก Google Finance ระบุว่าราคาหุ้นของไมโครสเตรทิจีลดลงราว 6% นับตั้งแต่ต้นสัปดาห์นั้น ธนาคารเพื่อการลงทุนอย่างเจพีมอร์แกนเพิ่มการประเมินความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกจะถดถอยจาก 40% เป็น 60% อ้างอิงจากความไม่แน่นอนของนโยบายในสหรัฐ
เจพีมอร์แกนแสดงความเห็นว่า “ความไม่ชัดเจนของนโยบายจากฝั่งอเมริกาเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สุดต่อเศรษฐกิจโลกในปีนี้” พร้อมเตือนว่า “ภาษีตอบโต้ การขัดข้องของห่วงโซ่อุปทาน และบรรยากาศทางธุรกิจที่แย่ลงจะยิ่งซ้ำเติมวิกฤต”
ความปั่นป่วนยังส่งผลกระทบต่อกำหนดการในตลาดทุน โดย Circle บริษัทผู้ออกสเตเบิลคอยน์ที่ยื่นเรื่องขอจดทะเบียนเข้าตลาด IPO ได้เลื่อนแผนการดังกล่าวออกไปตามรายงานของ Wall Street Journal ซึ่งเผยว่า Circle กำลังรอให้ “ความไม่แน่นอนในตลาดคลี่คลาย” ขณะเดียวกัน Klarna และ StubHub ก็ถูกระบุว่ากำลังทบทวนกลยุทธ์การเข้าตลาดเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม บิตคอยน์ยังคงแสดงพฤติกรรมที่แตกต่างจากตลาดทุนโดยรวม โดยสื่อคริปโตต่างรายงานว่ามีสัญญาณ ‘แยกตัว’ (decoupling) จากหุ้นอย่างชัดเจน แม้ตลาดหุ้นสหรัฐจะร่วงหนัก แต่บิตคอยน์สามารถประคองตัวอยู่ที่ระดับ 82,000 ดอลลาร์ (ราว 11.97 ล้านบาท) ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา
ความคิดเห็น 0