ตลาดคริปโตในสัปดาห์ที่ผ่านมาเผชิญความผันผวนอย่างรุนแรง จากนโยบายภาษีศุลกากรรอบใหม่ที่ประกาศโดยประธานาธิบดีทรัมป์ ส่งผลให้ตลาดการเงินโลกสั่นสะเทือน และราคาบิตคอยน์(BTC) ร่วงลงต่ำกว่า 1.2 ล้านบาท ก่อนจะดีดตัวกลับขึ้น กระตุ้นความสนใจจากนักลงทุนอย่างกว้างขวาง
เมื่อวันที่ 31 มีนาคม บริษัทไมโครสแตรทิจี (ปัจจุบันใช้ชื่อว่า สแตรทิจี) ซึ่งเป็นผู้ถือครองบิตคอยน์รายใหญ่ของสหรัฐฯ ได้ประกาศซื้อบิตคอยน์เพิ่มจำนวน 22,048 BTC คิดเป็นมูลค่าราว 2.88 หมื่นล้านบาท โดยหลังดีลขนาดใหญ่นี้ ราคาบิตคอยน์พุ่งขึ้นแตะระดับประมาณ 83,757 ดอลลาร์ การเคลื่อนไหวลักษณะนี้ถูกมองว่าเป็นการ ‘ซื้อช่วงราคาตก’ ของนักลงทุนสถาบันจึงสร้างสัญญาณบวกใหม่ให้กับตลาด
อาเธอร์ เฮย์ส(Arthur Hayes) ผู้ร่วมก่อตั้งบิทเม็กซ์(BitMEX) แสดงความเห็นผ่านบล็อกส่วนตัวว่า หากธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) เปลี่ยนนโยบายจากการคุมเข้มสู่การผ่อนคลายทางการเงิน ราคาบิตคอยน์อาจพุ่งถึง 250,000 ดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้ เขามองว่าความคาดหวังต่อการเพิ่มปริมาณเงินสกุลหลักอย่างดอลลาร์ กำลังกระตุ้นความต้องการในบิตคอยน์
ขณะเดียวกัน นโยบาย ‘ภาษีแบบตอบโต้เต็มรูปแบบ’ ของทรัมป์ ก็ส่งผลกระทบต่อบิตคอยน์โดยตรง ตามข้อมูลจากบริษัทวิเคราะห์ออนเชนอย่างคริปโตควอนต์(CryptoQuant) พบว่าหลังการประกาศ ปริมาณ BTC ที่ไหลเข้าสู่กระดานเทรดเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน นำไปสู่แรงขายระยะสั้น โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่หรือที่เรียกว่า ‘วาฬ’ มีการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ทำให้ราคาผันผวนมากขึ้น
ด้านอีเธอเรียม(ETH) วิตาลิก บูเตริน ผู้ร่วมก่อตั้งของเครือข่าย ได้เสนอแนวทางใหม่ในการสร้างสมดุลระหว่างความปลอดภัยและความเร็วสำหรับโครงสร้าง L2 โดยเขาตั้งเป้าพัฒนาความสามารถในการรองรับธุรกรรม และเสถียรภาพของระบบโดยรวม ซึ่งอาจมีอิทธิพลต่อกลยุทธ์การพัฒนาของโปรเจกต์ L2 อื่นๆ ในวงกว้าง
ฝั่งตลาดริปเปิล(XRP) ก็มีพัฒนาการเชิงบวกเช่นกัน เมื่อบริษัทจัดการสินทรัพย์สหรัฐฯ อย่างเกรย์สเกล ได้ยื่นเรื่องต่อสำนักงาน ก.ล.ต.สหรัฐฯ(SEC) เพื่อแปลงกองทุนลงทุนคริปโตขนาดใหญ่ของตนเป็น ETF โดยมีการระบุเพิ่ม XRP เข้ามาในสัดส่วน 6% พร้อมกันนี้ ริปเปิลยังได้ประกาศเชื่อมโยงสเตเบิลคอยน์ของตัวเองในชื่อ RLUSD เข้ากับระบบโอนเงินระหว่างประเทศ ‘ริปเปิลเพย์เมนต์’ เพื่อขยายระบบนิเวศให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น
ในกลุ่มอัล트คอยน์อื่น โซลานา(SOL) และอาวาแลนช์(AVAX) ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะกรณีของกลุ่มการเงินญี่ปุ่นรายใหญ่ มิตซุยสุมิโตโมไฟแนนเชียลกรุ๊ป ร่วมมือกับบริษัทพัฒนาอาวาแลนช์อย่างอาวาแล็บส์ เพื่อสร้างสเตเบิลคอยน์รุ่นใหม่ โดยตั้งเป้าทดสอบเชิงพาณิชย์ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2026
แม้ว่าท่าทีแข็งกร้าวด้านการค้าของรัฐบาลทรัมป์จะสร้างแรงกดดันระยะสั้นให้กับตลาดคริปโต แต่ผู้เชี่ยวชาญบางรายกลับมองว่าสถานการณ์เช่นนี้คือ ‘โอกาสซื้อบิตคอยน์’ เพราะสะท้อนแนวโน้มการลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐฯ และตอกย้ำคุณค่าทางยุทธศาสตร์ของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต โดยตลาดน่าจะยังคงผันผวนไปตามทิศทางของนโยบายการเงินสหรัฐฯ และท่าทีของประธานาธิบดีทรัมป์
ความคิดเห็น 0