ราคา ‘บิตคอยน์(BTC)’ ร่วงต่ำกว่าแนวต้าน 79,000 ดอลลาร์ ทำให้นักวิเคราะห์เริ่มพูดถึงสัญญาณ ‘เดธครอส’ ที่บ่งชี้ถึงแนวโน้มตลาดขาลง ขณะที่ แลร์รี ฟิงก์(Larry Fink) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารแห่งแบล็คร็อก เตือนว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจได้เข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว ความเห็นของเขาสร้างความกังวลเพิ่มเติมต่อตลาดทุนและตลาดคริปโตทั่วโลก
ในเดือนเมษายน ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลดลงกว่า 10% แตะระดับ 5,062.24 จุด ขณะที่ ‘บิตคอยน์’ ลดลง 4.13% ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะช่วงวันที่ 6 เมษายน ซึ่งเป็นวันที่ยืนยันสัญญาณ ‘เดธครอส’ อย่างชัดเจน ราคาของ BTC ดิ่งลงทันที 6.1% ภายในวันเดียว สะท้อนจิตวิทยาตลาดที่เริ่มหวั่นไหว
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความผันผวนนี้คือ นโยบายภาษีการค้าต่อจีนซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ยังคงเดินหน้าแบบแข็งกร้าว แม้ก่อนหน้านี้จะมีสื่อบางแห่งรายงานผิดพลาดว่าเขาจะเลื่อนมาตรการไปอีก 90 วัน จนทำให้เกิดแรงซื้อระยะสั้น แต่ก็ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นเพียงภาพลวงตาชั่วคราวเท่านั้น
แลร์รี ฟิงก์ ให้สัมภาษณ์ว่า “สหรัฐอาจเผชิญภาวะถดถอยแล้ว และตลาดหุ้นอาจลดลงได้อีก 20% จากปัจจุบัน” พร้อมระบุว่า “แรงกดดันด้านเงินเฟ้ออันเนื่องจากภาษีที่ยังดำเนินอยู่นั้นจะสร้างปัญหารุนแรงยิ่งขึ้น” สำหรับนโยบายดอกเบี้ย ฟิงก์เตือนว่า ความคาดหวังว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยถึง 4–5 ครั้งในปีนี้นั้น “ไม่สมจริง” โดยปัจจุบันธนาคารกลางสหรัฐยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ระหว่าง 4.25–4.50% ตามการตัดสินใจเมื่อเดือนมีนาคม เพื่อรักษาท่าทีแบบคุมเข้มทางการเงิน
ตลาดคริปโตเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิดกับตลาดหุ้น โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐ ทำให้ไม่สามารถหนีแรงขายได้เช่นกัน ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า เมื่อเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น สินทรัพย์เสี่ยงเช่นคริปโตจะเผชิญแรงขายมากขึ้นเป็นธรรมดา
อย่างไรก็ดี บางนักลงทุนกลับเห็นมุมบวกจากสถานการณ์ครั้งนี้ ไมเคิล เซย์เลอร์(Michael Saylor) ผู้ก่อตั้งไมโครสเตรเทจี กล่าวว่า “ความผันผวนของราคาเป็นกลไกกรองนักเก็งกำไรระยะสั้น และเปิดโอกาสให้นักลงทุนระยะยาวได้สะสม” เขามองว่าช่วงนี้เหมาะสำหรับการซื้อเพิ่ม ปัจจุบันไมโครสเตรเทจีถือครองบิตคอยน์อยู่ทั้งสิ้น 528,185 BTC คิดเป็นมูลค่า 41.7 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 60.9 ล้านล้านวอน นับเป็นการถือครองรายใหญ่ที่สุดในหมู่บริษัทเอกชน
ขณะที่ ETF ‘ไอแชร์ส บิตคอยน์ ทรัสต์ (iShares Bitcoin Trust)’ ของแบล็คร็อก ก็มีมูลค่าตลาดสูงถึง 44.82 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 65.4 ล้านล้านวอน กลายเป็น ETF ร่วมตลาดคริปโตที่มีขนาดใหญ่ที่สุด โดยมีราคาต่อหน่วยอยู่ที่ 44.27 ดอลลาร์ และอัตราหมุนเวียนการซื้อขายอยู่ที่ 10.65%
ในภาพรวม ตลาดยังต้องจับตาทิศทางเศรษฐกิจมหภาคเป็นสำคัญ โดยเฉพาะนโยบายกดดันเศรษฐกิจจีนของทรัมป์ และท่าทีต่อดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะเป็นตัวแปรสำคัญต่ออนาคตของตลาดคริปโตในระยะกลางถึงระยะยาว.
ความคิดเห็น 0