ในช่วงที่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงยืดเยื้ออย่างไม่มีทีท่าว่าจะจบลง บิตคอยน์(BTC) ยังคงไม่สามารถทะลุแนวต้านสำคัญได้ ทำให้ผู้เล่นในตลาดแสดงความกังวลต่อ *ความไม่แน่นอนของสินทรัพย์เสี่ยง* โดยทั่วไป หลายฝ่ายมองว่าการพยายามฝ่าแนวโน้มขาลงที่ไม่ประสบความสำเร็จเป็นการสะท้อนสัญญาณลบจากบรรยากาศทางเศรษฐกิจโลก
เมื่อวันที่ 11 ที่ผ่านมา ราคา *บิตคอยน์* พุ่งทะลุ 86,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 11 วัน หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศยกเว้นภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าเทคโนโลยีบางรายการ แต่อานิสงส์ของมาตรการดังกล่าวมีอายุสั้น เพราะทันทีที่มีรายงานว่ามาตรการนี้เป็นเพียงชั่วคราว ราคา *บิตคอยน์* ก็ร่วงกลับไปที่ราว 84,000 ดอลลาร์
การเคลื่อนไหวนี้ยังส่งผลต่อตลาด ETF ที่เกี่ยวข้องกับ *บิตคอยน์* โดยตรง สัปดาห์ที่ผ่านมา กองทุนบิตคอยน์แบบสปอตมีการไหลออกของเงินทุนเกือบ 750 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 1.09 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นระดับสูงที่สุดอันดับ 5 ในประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ดี นักเศรษฐศาสตร์ด้านเครือข่าย ทิโมธี ปีเตอร์สัน แสดงความเห็นว่า ตัวเลขดังกล่าวยังคิดเป็นสัดส่วนที่เล็กในภาพรวมของตลาด จึงไม่ใช่สัญญาณอันตราย พร้อมย้ำว่าในระยะยาว นี่อาจสะท้อน ‘ความแข็งแกร่ง’ ของ *บิตคอยน์*
ด้านนักวิเคราะห์ชื่อดัง Bitbull ระบุว่า ระดับราคา 70,000 – 72,000 ดอลลาร์คือแนวรับสำคัญ และหากแรงขายยังคงกดดัน ราคา *บิตคอยน์* อาจเด้งกลับจากช่วงราคาดังกล่าวได้ ส่วน Rekt Capital อีกหนึ่งเทรดเดอร์ทางเทคนิค มองว่า *บิตคอยน์* ได้ทะลุเส้นแนวโน้มขาลงแล้ว แต่อย่างไรก็ดี ยังไม่สามารถตัดความเป็นไปได้ของ ‘การย่อลงเพื่อทดสอบซ้ำ’ และอาจล้มเหลวเหมือนในครั้งที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน นักลงทุนบางรายก็มองหาจังหวะสะสมในช่วงราคาลดต่ำลง โดยบริษัทสตราทีจี(Strategy) ซึ่งเปลี่ยนชื่อมาจากไมโครสเตรทิจี แสดงเจตจำนงว่าอาจซื้อ *บิตคอยน์* เพิ่มอีกในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยไมเคิล เซย์เลอร์ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งได้โพสต์ภาพพอร์ตการถือครอง *บิตคอยน์* เพิ่มเติมพร้อมข้อความสั้นว่า “ไม่มีภาษี”
นอกจากนี้ ความผันผวนของตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ก็กลายเป็นศูนย์กลางของการถกเถียงในวงการ นักลงทุนบางฝ่าย เช่น จากโคเบย์ซี เลตเตอร์(The Kobeissi Letter) เตือนว่าการยกเว้นภาษีนั้นอาจเป็นมาตรการเพียงระยะสั้นเพื่อกดดันทิศทางตลาด ส่วนโมเสก แอสเสต(Mosaic Asset) เสริมว่า การเปลี่ยนท่าทีทางนโยบายน่าจะตอบสนองต่อแรงกระเพื่อมในตลาดตราสารหนี้
อย่างไรก็ดี ยังมีบางเสียงวิเคราะห์ว่าขณะนี้ตลาดกำลังเข้าสู่ภาวะที่เอื้อต่อ *บิตคอยน์* และสินทรัพย์เสี่ยงอื่น ๆ เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์อ่อนลงจนแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปีเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินหลัก ขณะที่ ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ (DXY) ก็ร่วงต่อเนื่อง ซึ่งในอดีตเคยนำไปสู่แนวโน้มขาขึ้นของ *บิตคอยน์* ภายในไม่กี่เดือนหลังจากนั้น
อีกปัจจัยบวกที่ไม่ควรมองข้ามคือ ปริมาณเงิน M2 ทั่วโลก ซึ่งอยู่ในระดับ ‘สูงสุดเป็นประวัติการณ์’ นักวิเคราะห์คริปโตชื่อดัง Colin Talks Crypto เผยว่า มีความสัมพันธ์เชิงเวลาอยู่ระหว่างระดับ M2 กับราคาของ *บิตคอยน์* โดยทั่วไปมักจะมีช่วงเวลาเฉลี่ยประมาณ 100 วันก่อนตลาดจะตอบสนองเต็มรูปแบบ
แม้ว่า ‘ทองคำ’ และสินทรัพย์ปลอดภัยแบบดั้งเดิมจะยังได้รับความนิยม แต่ภายใต้ความเสี่ยงจาก *ภาวะเงินเฟ้อ* และ *การขาดดุลงบประมาณ* ที่สูงขึ้นทั่วโลก *บิตคอยน์* อาจกลับมาเป็น ‘ทางเลือกการลงทุน’ ที่นักลงทุนให้ความสนใจในฐานะสินทรัพย์เสี่ยงที่สามารถป้องกันความเสี่ยงได้อีกครั้ง
ความคิดเห็น 0