แม้อุตสาหกรรมการเกษตรจะเป็นหนึ่งในภาคส่วนขนาดใหญ่ของโลก โดยในปี 2023 สหภาพยุโรปได้มีการนำเข้าและส่งออกสินค้าเกษตรรวมกว่า 2.88 พันล้านตัน แต่เกษตรกรจำนวนมาก โดยเฉพาะในแอฟริกา ยังคงเผชิญอุปสรรคสำคัญจาก *ระบบการเงินที่ล้าหลัง* ซึ่งขัดขวางความสามารถในการทำการค้าระหว่างประเทศและการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
โดยเฉพาะในประเทศแอฟริกา เกษตรกรต้องพึ่งพารายได้จากการส่งออกที่ใช้เงินตราต่างประเทศ แต่กลับต้องแบกภาระด้าน *ค่าธรรมเนียมธุรกรรมสูง, ระยะเวลาดำเนินการโอนเงินนาน,* และ *อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ไม่เป็นธรรม* ขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่สามารถปรับตัวได้บ้าง แต่เกษตรกรรายย่อยกลับได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโครงสร้างทางการเงินที่ไม่เอื้อต่อพวกเขา
ในสถานการณ์นี้ *เทคโนโลยีบล็อกเชน* และ *สเตเบิลคอยน์* จึงกลายเป็นทางรอดที่ถูกจับตามอง เนื่องจากสามารถลดขั้นตอนของตัวกลางทางการเงิน เปิดโอกาสให้เกษตรกรเข้าถึงตลาดระหว่างประเทศได้โดยตรง *ความคิดเห็น*: การเข้าถึงการค้าระดับโลกได้โดยไม่ต้องพึ่งพาสถาบันการเงินแบบดั้งเดิมนั้น คือโอกาสทองของเกษตรกรในประเทศกำลังพัฒนา
ตลาดเกษตรในแอฟริกาคาดว่าจะเติบโตจนแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 และ *สเตเบิลคอยน์* กำลังขยับจากกระแสนิยมสู่บทบาทเชิงยุทธศาสตร์ในเส้นทางสู่การเติบโตนี้ โดยเฉพาะด้าน *การชำระเงินข้ามพรมแดน* ที่รวดเร็วและแม่นยำ ซึ่งเป็น ‘เส้นเลือด’ สำคัญของเกษตรกรรม
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่พบในระบบเดิม เช่น ค่าธรรมเนียมการโอนเงินผ่านธนาคารที่สูงถึง 3–6% และความเสี่ยงจาก *ค่าเงินผันผวน* เมื่อใช้สกุลเงินกลางอย่างดอลลาร์สหรัฐในธุรกรรม ทำให้ค่าใช้จ่ายโดยรวมเพิ่มสูง โดยเกษตรกรรายย่อยในแอฟริกาบางรายต้องเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าบริษัทขนาดใหญ่ถึง 200% ในการดำเนินการในระบบการเงินแบบเดิม
นอกจากนี้ การได้รับเงินจากการค้าขายอาจใช้เวลาเกินกว่า 120 วัน ส่งผลให้เกิดปัญหาขาดสภาพคล่อง ทำให้เกษตรกรต้องพึ่งพาเงินกู้ดอกเบี้ยสูง ซึ่งบั่นทอนกำไรลงอย่างต่อเนื่อง
แต่ด้วยสเตเบิลคอยน์ เกษตรกรสามารถ *รับเงินภายในไม่กี่นาทีด้วยต้นทุนต่ำ* ทำให้สามารถหมุนเวียนเงินได้ทันเวลา อีกทั้งยังสามารถตั้งราคาสินค้าเกษตรโดยอิงกับสเตเบิลคอยน์ ช่วยลดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนโดยเฉพาะในประเทศที่ค่าเงินท้องถิ่นไม่คงที่
อีกด้านหนึ่ง *เทคโนโลยีบล็อกเชนยังสามารถตรวจสอบและป้องกันสินค้าปลอม* ซึ่งสร้างความเสียหายระดับโลกกว่า 58.4 พันล้านดอลลาร์จากอาหารปลอม และกว่า 730 พันล้านดอลลาร์จากสินค้าลอกเลียนแบบต่อปี ส่งผลให้บล็อกเชนกลายเป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพในการเพิ่มความโปร่งใสและประสิทธิภาพในห่วงโซ่อุปทานการเกษตร
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ บริษัท Parrogate ในซิมบับเว ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการชำระเงินกับซัพพลายเออร์และปรับปรุงกระบวนการค้าข้ามพรมแดนให้ราบรื่นขึ้น ทั้งนี้ ความพยายามลักษณะเดียวกันกำลังเกิดขึ้นทั่วภูมิภาคแอฟริกา
อย่างไรก็ตาม การนำสเตเบิลคอยน์มาใช้ก็ยังเผชิญข้อจำกัด โดยเฉพาะกฎระเบียบในประเทศแอฟริกาต่างๆ ที่ค่อนข้างเข้มงวดต่อการไหลออกของเงินทุน หากไม่มีกรอบทางกฎหมายที่ชัดเจน อาจนำไปสู่ความเสี่ยงทางกฎหมายได้
นอกจากนี้ บางพื้นที่ยังขาดโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีและการศึกษา ซึ่งชะลอการยอมรับและการใช้งานของสเตเบิลคอยน์ ขณะที่ประเทศที่มีโครงสร้างทางการเงินที่มั่นคงอยู่แล้ว เช่นในยุโรป อาจมองว่าการใช้เทคโนโลยีนี้ ‘ไม่เร่งด่วน’ เท่ากับประเทศกำลังพัฒนา
แต่ถึงแม้จะมีอุปสรรคเหล่านี้ *สเตเบิลคอยน์* ยังคงเป็น ‘ตัวแปรเปลี่ยนเกม’ สำหรับภาคเกษตรกรรม โดยเฉพาะในประเทศที่ระบบการเงินล้มเหลว การเข้าถึงการเงินบนเทคโนโลยีจึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็น ‘พื้นฐานสู่การเติบโต’ ของผู้ผลิตอาหารจำนวนมหาศาลทั่วโลก
ความคิดเห็น 0