อุตสาหกรรมคริปโตยังคงเผชิญกับความท้าทายด้านความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อแฮกเกอร์สามารถขโมยสินทรัพย์ดิจิทัลมูลค่ากว่า *1,460 พันล้านวอน (ประมาณ 9.2 ล้านดอลลาร์)* ภายในเดือนเมษายนเพียงเดือนเดียว แม้ภาคธุรกิจจะพยายามยกระดับมาตรการป้องกันทางไซเบอร์ แต่การโจมตียังไม่หยุดลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของสาธารณชนต่อวงการคริปโตอย่างมีนัยสำคัญ
เมื่อวันที่ 30 ที่ผ่านมา บริษัทความปลอดภัยด้านบล็อกเชนอย่าง *อิมมูนิไฟ(Immunefi)* ออกรายงานเปิดเผยว่าเกิดเหตุแฮกกว่า 15 ครั้งในเดือนเมษายน โดยคาดว่ามูลค่าความเสียหายรวมอยู่ที่ประมาณ *9.2 ล้านดอลลาร์* หรือประมาณ *1,460 พันล้านวอน* ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง *124%* จากเดือนก่อนหน้าที่ตัวเลขอยู่ที่ 4.1 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 600 พันล้านวอน
ผู้เชี่ยวชาญมองว่าการเพิ่มขึ้นของการโจมตีนี้ เกิดจากการดำเนินการอย่างมีแบบแผนของอาชญากรไซเบอร์ที่เจาะจงหาช่องโหว่ในระบบ โดยเฉพาะใน *แพลตฟอร์มดีไฟ(DeFi)*, โปรเจกต์ NFT และระบบบริดจ์ ที่เทคนิคการแฮกพัฒนาไปอย่างซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ความสามารถในการบริหารจัดการความปลอดภัยของตลาดทั้งระบบถูกนำมาทดสอบอย่างแท้จริง
ท่ามกลางกระแสหาเสียงเลือกตั้งในสหรัฐ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้แสดงท่าทีสนับสนุนคริปโตโดยสัญญาว่าจะ *ผ่อนคลายกฎระเบียบ* และผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรม ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญในการฟื้นฟูภาพลักษณ์ของตลาดให้กลับมาได้รับความเชื่อถือจากผู้ใช้งาน อย่างไรก็ตาม การเกิดเหตุแฮกในระดับใหญ่ครั้งนี้กลับเป็นปัจจัยลบที่ฉุดกระแสความเชื่อมั่นดังกล่าว
ทางอิมมูนิไฟเตือนว่า “แม้จะมีการลงทุนด้านเทคโนโลยีความปลอดภัยมากขึ้น แต่โครงการขนาดใหญ่ยังคงเป็นเป้าหมายหลักของแฮกเกอร์” พร้อมระบุว่า *ความถี่ของการโจมตีมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีกในช่วงหลายเดือนข้างหน้า*
ความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญระบุว่า หากอุตสาหกรรมคริปโตยังต้องการเข้าถึงระบบการเงินอย่างเป็นทางการ ความสามารถในการจัดการความเสี่ยงด้านความปลอดภัยต้องยกระดับอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในช่วงที่ทรัมป์ประกาศนโยบาย *ทบทวนกฎระเบียบและจัดตั้งเงินสำรองแห่งชาติเกี่ยวกับคริปโต* ซึ่งหากไม่มีแผนปฏิบัติการที่ชัดเจน อาจไม่สามารถเปลี่ยนวิสัยทัศน์ให้กลายเป็นความจริงได้ในเร็ววัน
ความคิดเห็น 0