บิตคอยน์(BTC) ปลดล็อกข้อจำกัดของ OP_RETURN เปิดทางให้สามารถบันทึกไฟล์ลงบนบล็อกเชนโดยตรง ซึ่งถูกมองว่าเป็นโอกาสใหม่ของตลาด NFT บิตคอยน์ และเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของเครือข่ายในช่วงที่อีเธอเรียม(ETH) ได้รับความสนใจจากการอัปเกรดครั้งใหญ่และการประกาศแผนงานใหม่ในเดือนพฤษภาคม
เดิมทีเครือข่ายบิตคอยน์ได้จำกัดขนาดของข้อมูลที่สามารถแนบมากับธุรกรรมได้ ผ่านคำสั่ง OP_RETURN ซึ่งหากมีไฟล์แนบที่มีขนาดเกิน 80 ไบต์ ระบบจะทำการยกเลิกธุรกรรมหรือแปลงเป็นผลลัพธ์ที่ไม่สามารถใช้งานได้โดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม นักพัฒนาได้สร้างแนวทางเลี่ยงข้อจำกัดนี้ผ่านมาตรฐาน BRC-20 ด้วยการใช้งาน ‘ออร์ดินัล’ ซึ่งเป็นเทคนิคในการฝังข้อมูลในบิตคอยน์โดยตรง
เมื่อเผชิญกับการเติบโตของตลาดและความต้องการใช้งานจริง ชุมชนนักพัฒนา ‘บิตคอยน์คอร์’ จึงตัดสินใจยกเลิกข้อจำกัดดังกล่าว ซึ่ง *ความคิดเห็น* นี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในทัศนคติของผู้พัฒนา โดยเฉพาะกลุ่ม ‘แม็กซิมอลลิสต์’ ที่มอง NFT เป็นสแปมและต่อต้านโทเคนทุกประเภทที่ไม่ใช่บิตคอยน์
ขณะเดียวกัน บิตคอยน์ยังสามารถนำไปใช้งานในแพลตฟอร์มที่รองรับสมาร์ตคอนแทรกต์อย่างอีเธอเรียมหรือคาร์ดาโน แต่ก็มีแนวคิดใหม่ที่จะพัฒนาเฟรมเวิร์กสมาร์ตคอนแทรกต์ลงบนเลเยอร์แรก หรือที่เรียกว่า ‘ซาโตชิเลเยอร์’ เพื่อเสริมความสามารถในการทำงานของเครือข่ายบิตคอยน์โดยตรง หากนักพัฒนาเลเยอร์ 2 สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานในเชิงพาณิชย์ได้ ก็อาจทำให้ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเครือข่ายอื่นๆ อีกต่อไป
นอกจากนี้ แจ็ค ดอร์ซีย์ ผู้ก่อตั้ง Cash App และ Block รวมถึงผู้สนับสนุนเครือข่าย Lightning Network อย่างแข็งขัน ได้คาดการณ์ว่า ราคาบิตคอยน์อาจพุ่งแตะ 1,000,000 ดอลลาร์ภายในปี 2030 ซึ่ง *ความคิดเห็น* ดังกล่าวชี้ให้เห็นความเชื่อมั่นในศักยภาพของระบบเศรษฐกิจบนเลเยอร์สองของบิตคอยน์ หากระบบนิเวศนี้สามารถเติบโตได้ตามที่คาด บิตคอยน์ก็อาจเข้าใกล้ราคาเป้าหมายของดอร์ซีย์เร็วกว่าที่คาดไว้
ความคิดเห็น 0