โครงการคริปโตน้องใหม่ 'พลาสมา' สร้างกระแสฮือฮาในวงการ ด้วยการระดมทุนจากการเสนอขายเหรียญ(ICO) กว่า 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(ราว 6.95 หมื่นล้านบาท) ทะลุเป้าหมายแรกเริ่มถึง 10 เท่า ความสำเร็จครั้งนี้ไม่ได้สะท้อนแค่ความต้องการลงทุนเท่านั้น แต่ยังบ่งชี้ถึงสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดมากขึ้นระหว่างตลาดคริปโตและระบบการเงินดั้งเดิม
พลาสมาได้รับการสนับสนุนจากผู้เล่นรายใหญ่ในวงการ ไม่ว่าจะเป็น เทเธอร์(USDT), บิทไฟ넙ซ์(Bitfinex) และนักลงทุนชื่อดังอย่าง ปีเตอร์ ธีล(Peter Thiel) โดยโครงการนี้นำเสนอนวัตกรรม ‘สเตเบิลเชน’ ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานของเหรียญเสถียรโดยเฉพาะ จุดเด่นอยู่ที่โครงสร้างพื้นฐานที่เปิดให้นำไปใช้จริงได้ และยังมีโมเดลให้รายได้กลับสู่เครือข่าย
การเสนอขายครั้งนี้ดำเนินการผ่านแพลตฟอร์มโซนาร์(Sonar) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก โคบี้(Cobie) โดยระหว่างการเปิดขายได้รับความสนใจล้นหลาม จนต้องปรับเป้าระดมทุนจาก 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ(ราว 3.48 หมื่นล้านบาท) ขึ้นเป็น 5 พันล้านดอลลาร์ภายในระยะเวลาอันสั้น
อย่างไรก็ตาม รายงานจากแซนทิเมนต์(Santiment) ชี้ว่าการถือครองเหรียญยังคงกระจุกตัวอยู่ในหมู่รายใหญ่ โดยกระเป๋าสตางค์อันดับต้นๆ 10 ราย ครอบครองสัดส่วนมากถึง 40% ของเหรียญทั้งหมด แม้จะมีรายงานว่า นักลงทุนรายหนึ่งลงเงินมากถึง 500 ล้านดอลลาร์(ราว 6.95 พันล้านบาท) ในขณะที่ผู้เข้าร่วมทั่วไปมีค่าเฉลี่ยการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 450,000 ดอลลาร์(ราว 63 ล้านบาท) และบางรายต้องจ่ายค่าธรรมเนียมก๊าสอย่างเดียวกว่า 100,000 ดอลลาร์(ราว 13.9 ล้านบาท) เพื่อให้ได้สิทธิเข้าร่วม
‘ความคิดเห็น’: โครงสร้างที่ยังเอนเอียงไปทางนักลงทุนรายใหญ่ยังเป็นข้อถกเถียง ท่ามกลางคำชมในเชิงเทคนิคและแนวคิด
แม้จะมีข้อจำกัด แต่ผู้เชี่ยวชาญมองว่าความสำเร็จของพลาสมาสะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคใหม่ของคริปโต ที่แตกต่างจากระยะก่อนหน้าทั้งช่วง ICO ปี 2017 และกระแส NFT ในปี 2021 โดยเฉพาะเมื่อโซนาร์กลายเป็นตัวอย่างที่ดีของแพลตฟอร์มที่เน้นความโปร่งใสและสอดคล้องต่อข้อกำกับ
การเติบโตนี้ยังสอดคล้องกับความเคลื่อนไหวจากภาครัฐในสหรัฐ เช่น การถก ‘กฎหมาย GENIUS’ และแผนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นนิวยอร์กของบริษัทผู้พัฒนาเหรียญสเตเบิลอย่าง เซอร์เคิล(Circle)
‘ความคิดเห็น’: ความสำเร็จของพลาสมาไม่ใช่เพียงจุดขายของตัวโปรเจกต์ แต่ยังเป็นสัญญาณว่าคริปโตกำลังเข้าไปมีที่ทางในระบบการเงินระดับโลก
บรรดานักวิเคราะห์ยังชี้ด้วยว่า การเปิดตัวของพลาสมาอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนทิศทางของตลาดจากการลงทุนใน ‘มีมคอยน์’ ไปสู่โครงสร้างพื้นฐานที่มีความหมายและใช้งานได้จริง ขณะที่ตลาดกำลังฟื้นตัวตามราคาของ บิตคอยน์(BTC) ที่กำลังไต่ระดับขึ้นอีกครั้ง ชี้ให้เห็นว่า ผู้คนเริ่มหันกลับมาให้ความสำคัญกับ ‘คุณค่าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม’ ของคริปโตอีกครั้ง
ความคิดเห็น 0