ไมเคิล เซย์เลอร์(Michael Saylor) ผู้ก่อตั้งไมโครสเตรเทจี เปิดเผยว่าเขาตัดสินใจลงทุนในบิตคอยน์(BTC) อย่างจริงจังจากสถานการณ์ในช่วงการระบาดใหญ่ของโควิด-19 โดยนโยบายการเงินของรัฐบาลสหรัฐฯ และมาตรการล็อกดาวน์เป็นแรงผลักดันสำคัญ
เซย์เลอร์ให้สัมภาษณ์กับจอร์แดน ปีเตอร์สัน(Jordan B. Peterson) นักจิตวิทยาชาวแคนาดา เมื่อวันที่ 9 โดยชี้ว่าในปี 2020 เขาเริ่มสนใจบิตคอยน์จากสิ่งที่เขาเรียกว่า ‘สงครามทางการเงิน’ พร้อมกล่าวถึงผลกระทบของมาตรการล็อกดาวน์ทั่วโลกและอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำจนเกือบเป็นศูนย์ในสหรัฐฯ ซึ่งนำไปสู่ความบิดเบี้ยวทางเศรษฐกิจ เขาย้ำว่า “มันไม่ใช่สงครามกับโควิด แต่เป็นสงครามกับสกุลเงิน”
ในช่วงเวลานั้น เซย์เลอร์ได้ส่งอีเมลถึงพนักงาน อธิบายว่ามาตรการควบคุมโควิด เช่น การเว้นระยะห่างและการหยุดชะงักของเศรษฐกิจ เป็นสิ่งที่กัดกร่อนจิตวิญญาณของสังคม เขาเชื่อว่าปี 2020 คือจุดเริ่มต้นของการแยกระหว่าง ‘เศรษฐกิจของประชาชน’ และ ‘วอลล์สตรีท’ ด้วยกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กและแรงงานต้องปิดร้าน ปิดสำนักงาน ท่ามกลางการเฟื่องฟูของภาคการเงิน
ในสถานการณ์ดังกล่าว เขาเริ่มมองหาวิธีป้องกันเงินสดของบริษัท ซึ่งขณะนั้นมีอยู่ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 6,950 ล้านบาท) แต่เมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลงจนใกล้ศูนย์จากการแทรกแซงตลาดโดยธนาคารกลาง เงินสดที่มีอยู่จึงไร้ความสามารถในการสร้างผลตอบแทน เขาระบุว่า “ธนาคารกลางยังคงพิมพ์เงินและกดดอกเบี้ยลงอย่างต่อเนื่อง”
ท่ามกลางคลื่นกระแสของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและสภาพคล่องขนาดใหญ่ที่บิดเบือนมูลค่าทรัพย์สิน เซย์เลอร์จึงตัดสินใจเลือก *บิตคอยน์* เป็น *สินทรัพย์ทางเลือก* ซึ่งกลายมาเป็นกลยุทธ์หลักในระดับองค์กรของไมโครสเตรเทจี และส่งผลต่อการลงทุนในคริปโตของภาคธุรกิจอย่างลึกซึ้ง
ความคิดเห็น 0