เอลิซาเบธ วอร์เรน และริชาร์ด บลูเมนธัล สองสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ ได้ส่งหนังสือเปิดผนึกถึงมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของเมตา(Meta) เพื่อเรียกร้องให้เปิดเผยข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับแผนสร้าง ‘สเตเบิลคอยน์’ ท่ามกลางกระแสการพิจารณากฎหมายควบคุมสินทรัพย์ดิจิทัลในวุฒิสภาที่กำลังทวีความเข้มข้น
จดหมายฉบับนี้มีขึ้นเมื่อวันที่ 24 (เวลาท้องถิ่น) โดยตั้งคำถามอย่างเจาะจงว่า เมตากำลังพัฒนาสเตเบิลคอยน์ด้วยตัวเอง หรือมีแผนจะร่วมมือกับบริษัทผู้ออกเหรียญรายใหญ่อย่างเซอร์เคิล(Circle) หรือเทเธอร์(Tether) หรือไม่ โดยขอให้มีการตอบกลับภายในวันที่ 17 มิถุนายน นอกจากนี้ วอร์เรนและบลูเมนธัลยังต้องการทราบว่าเมตาติดต่อกับบริษัทคริปโตใดบ้าง, มีการล็อบบี้เชิงนโยบายเกี่ยวกับคริปโตหรือไม่ และมีท่าทีอย่างไรต่อร่างกฎหมายที่จำกัดไม่ให้บริษัทเทคโนโลยีออกสกุลเงินดิจิทัลเอง
ทั้งนี้ เมตาเคยริเริ่มโครงการสเตเบิลคอยน์ภายใต้ชื่อ ‘ลิบรา’ ในปี 2019 ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น ‘เดียม’ เนื่องจากแรงกดดันด้านกฎระเบียบ และสุดท้ายยุติโครงการในปี 2022 อย่างไรก็ตาม รายงานล่าสุดระบุว่า เมตากำลังพิจารณานำสเตเบิลคอยน์กลับมาใช้อีกครั้ง โดยเฉพาะผ่านการเสริมฟีเจอร์การชำระเงินภายในแพลตฟอร์มของตน เช่น WhatsApp, เฟซบุ๊ก และอินสตาแกรม อีกทั้งยังมีข่าวว่ากำลังเจรจาแบบลับๆ กับบริษัทคริปโตหลายแห่ง
“การที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่างเมตาออกสกุลเงินของตัวเอง เช่น สเตเบิลคอยน์ อาจเป็นภัยคุกคามต่ออธิปไตยทางการเงินและสิทธิด้านความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภค” วอร์เรนระบุ พร้อมเน้นว่าควรมีการควบคุมอย่างเคร่งครัด ด้านบลูเมนธัลยังเสริมว่า “เมตาอาจขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจผ่านการครอบงำตลาดและแพลตฟอร์มของตน” ซึ่งนับว่าเป็น *ความคิดเห็น* ที่สะท้อนความกังวลด้านการแข่งขันและอำนาจทางเศรษฐกิจ
ในประเด็นที่เกี่ยวข้อง ยังมีการถกเถียงเกี่ยวกับร่างกฎหมาย ‘GENIUS’ ซึ่งเปิดช่องให้ประธานาธิบดีมีอำนาจยกเว้นการควบคุมให้กับบริษัทเทคโนโลยีบางราย โดยมีความกังวลว่าหากร่างกฎหมายนี้ผ่านและ ‘ประธานาธิบดีทรัมป์’ สนับสนุนเมตาในการยกเว้นกฎระเบียบ เมตาจะได้เปรียบเหนือคู่แข่งอย่างมาก
แม้ทางการของเมตาจะกล่าวอย่างเป็นทางการว่า *ไม่มีแผนพัฒนาสเตเบิลคอยน์ในเวลานี้* และโครงการเดียมได้ยุติลงแล้ว แต่แหล่งข่าววงในเผยว่า เมตายังคงมีการติดต่อกับเซอร์เคิล และกำลังสำรวจความเป็นไปได้ในการพัฒนาระบบชำระเงินข้ามประเทศที่มีต้นทุนต่ำผ่านสเตเบิลคอยน์ โดยมีบุคคลที่มีประสบการณ์ในวงการคริปโตเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างไม่เป็นทางการ
กรณีของเมตาในครั้งนี้สะท้อนภาพที่ใหญ่กว่าเรื่องเฉพาะบริษัทเดียว เพราะมันคือคำถามว่า *ใครจะได้เป็นผู้นำโครงสร้างพื้นฐานการเงินดิจิทัลในอนาคต* ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อทิศทางของนโยบายการเงินและอิทธิพลของบรรดาบริษัทเทคโนโลยี แนวทางที่วุฒิสภาจะลงมติเกี่ยวกับกฎหมายควบคุมสเตเบิลคอยน์ในไม่ช้านี้ อาจมีผลอย่างยิ่งต่อเส้นทางของเมตาและบริษัทเทคโนโลยีรายอื่นในตลาดคริปโต.
ความคิดเห็น 0