Back to top
  • 공유 แชร์
  • 인쇄 พิมพ์
  • 글자크기 ขนาดตัวอักษร
ลิงก์ถูกคัดลอกแล้ว

คริปโตผสาน TradFi: ทิศทางใหม่ของการเงินโลกที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ

การเปลี่ยนแปลงในระบบการเงินโลกไม่ได้มุ่งเน้นที่ ‘ความแตกแยก’ ระหว่างการเงินดั้งเดิมและเทคโนโลยีการกระจายอำนาจ แต่กลับกลายเป็น ‘การผสาน’ ที่กำลังวางรากฐานให้ระบบการเงินมีความเปิดกว้างและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น วงการคริปโตที่เคยถูกมองว่าเต็มไปด้วยมีมคอยน์และการเก็งกำไร กำลังปรับเปลี่ยนทิศทางไปสู่การสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับมูลค่าที่แท้จริง

แนวโน้มใหม่นี้สะท้อนผ่านการเชื่อมต่อระหว่างการเงินดั้งเดิม(TradFi) และการเงินแบบกระจายอำนาจ(DeFi) โดยองค์กรคริปโตต่างๆ เริ่มเปิดตัวผลิตภัณฑ์การลงทุนที่มีลักษณะคล้ายผลิตภัณฑ์ทางการเงินแบบดั้งเดิม หรือแม้กระทั่งใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่อ ‘โทเคนไนซ์’ ทรัพย์สินจริงให้สามารถซื้อขายได้สะดวกยิ่งขึ้นควบคู่กับการปรับปรุงกฎระเบียบในหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ ได้อนุมัติให้ บิตคอยน์(BTC) เป็นสินทรัพย์อ้างอิงของกองทุน ETP แถมยังมีการผลักดันกฎหมายสำคัญอย่าง ‘GENIUS Act’ และ ‘STABLE Act’ เพื่อรองรับสินทรัพย์ดิจิทัลโดยเฉพาะ หลายรัฐในอเมริกา เช่น เท็กซัสและไวโอมิง ได้เริ่มอนุมัติกฎหมายเพื่อคุ้มครองและทำให้การทำธุรกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นทางการมากขึ้น เช่นเดียวกับยุโรปที่เริ่มใช้กฎหมาย MiCA เพื่อสร้างกรอบกำกับดูแลในตลาดนี้

แม้กระแสการ ’ทำให้เป็นระบบ’ ดังกล่าวจะได้รับเสียงวิจารณ์ว่าทำลายคุณค่าหลักของ ‘ความกระจายอำนาจ’ แต่เรื่องนี้ก็สะท้อนความจริงในโลกการเงินที่ว่าการเปลี่ยนแปลงไม่สามารถพึ่งพาเทคโนโลยีเท่านั้น หากไม่มีรากฐานที่เชื่อถือได้ ขยายตัวได้ และมีความปลอดภัย การเปลี่ยนแปลงจะเป็นได้เพียงการทดลองที่จำกัดในหมู่กลุ่มเล็กๆ เท่านั้น ความโปร่งใส, การทำงานอัตโนมัติ และความรวดเร็วที่บล็อกเชนมอบให้นั้นสามารถเป็น ‘จิ๊กซอว์’ ที่เสริมความมั่นคงให้ระบบการเงินเก่า แต่ทั้งหมดจะต้องมาพร้อม ‘มาตรฐานที่สูงกว่าเดิม’ เช่น ความโปร่งใสของข้อมูลออนเชน, ระบบตรวจสอบที่เป็นอัตโนมัติ และการไหลของทุนที่สามารถตั้งโปรแกรมได้ ยิ่งกลายเป็น ‘มาตรฐานพื้นฐาน’ ของบริการบล็อกเชนในทุกวันนี้

หนึ่งในตัวอย่างของการเปลี่ยนจากวิสัยทัศน์แบบ 'ไฮป์' มาสู่พื้นฐานจริง คือ ‘ภาคอสังหาริมทรัพย์’ ตลาดอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ทั่วโลกมีมูลค่าประมาณ 38 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 5.28 ล้านล้านล้านวอน แต่กลับมีสภาพคล่องต่ำอย่างมาก ปัญหามาจากโครงสร้างธุรกรรมที่ซับซ้อน และระบบกฎหมายที่กำหนดยุคก่อนระบบอิเล็กทรอนิกส์ แต่เมื่อนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้เพื่อโทเคนไนซ์อสังหาริมทรัพย์ กลับสามารถเพิ่มสภาพคล่องได้อย่างเห็นผล มีรายงานคาดการณ์ว่า ภายในปี 2035 อสังหาริมทรัพย์จำนวนหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐอาจถูกเปลี่ยนรูปแบบเป็นโทเคน ส่งผลให้กำแพงในการเข้าถึงระดับสินทรัพย์ของประชาชนลดลงและสร้างความมั่งคั่งในระดับโลก

ยกตัวอย่างเช่น นักศึกษาจากประเทศหนึ่งอาจเป็นเจ้าของบางส่วนของศูนย์การค้าแห่งหนึ่งได้ หรือชุมชนในเอเชียสามารถรับผลตอบแทนจากโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในยุโรป ในมุมมองของตลาดและแพลตฟอร์ม ก็สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทรัพย์สินจริงเป็นหลักประกันได้เช่นกัน ทั้งหมดนี้สามารถทำได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าและความยืดหยุ่นที่สูงกว่าระบบแบบเดิม

ท้ายที่สุด ทิศทางที่คริปโตควรมุ่งไปไม่ใช่การ ‘แทนที่’ ระบบดั้งเดิม แต่ควรเป็นการ ‘เสริมความแข็งแกร่ง’ ให้กับมัน โครงการที่น่าจับตาในอีก 10 ปีข้างหน้า ต้องมีจุดเด่นด้านกฎระเบียบที่ชัดเจน ความปลอดภัยในระดับสถาบัน และโมเดลเศรษฐกิจที่พิสูจน์แล้วว่าใช้ได้จริง เทคโนโลยีคริปโตควรถูกมองว่าเป็นเครื่องมือที่สามารถผลักดันการเงินให้ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิม ไม่ใช่อาวุธที่ใช้โค่นล้มระบบ โดยนโยบายของผู้มีอำนาจ เช่น ทรัมป์ ที่แสดงท่าทีเป็นมิตรกับสินทรัพย์ดิจิทัล ก็ถือเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเร่งการเปลี่ยนผ่านนี้เช่นกัน

‘อิสรภาพ’ และ ‘ความคล่องตัว’ ของบล็อกเชนจะมีพลังอย่างแท้จริง ก็ต่อเมื่อมันสามารถทำงานร่วมกับความมั่นคงของระบบการเงินเดิมได้อย่างกลมกลืน ถึงเวลาแล้วที่นวัตกรรมจะไม่ใช่แค่การทดลองแบบโดดเดี่ยว แต่ต้องกลายเป็นแรงผลักดันที่ผลักให้ระบบทั้งระบบพัฒนาไปในทิศทางที่โปร่งใสและเปิดรับได้ยิ่งกว่าเดิม

<ลิขสิทธิ์ ⓒ TokenPost ห้ามเผยแพร่หรือแจกจ่ายซ้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต>

บทความที่มีคนดูมากที่สุด

บทความที่เกี่ยวข้อง

ความคิดเห็น 0

ข้อแนะนำสำหรับความคิดเห็น

ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ ต้องการบทความติดตามเพิ่มเติม เป็นการวิเคราะห์ที่ยอดเยี่ยม

0/1000

ข้อแนะนำสำหรับความคิดเห็น

ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ ต้องการบทความติดตามเพิ่มเติม เป็นการวิเคราะห์ที่ยอดเยี่ยม
1