หน่วยงานท้องถิ่นของเมืองเซินเจิ้นในจีน ได้ออกคำเตือนเกี่ยวกับ ‘สเตเบิลคอยน์’ โดยระบุให้ประชาชนทั่วไปใช้ความระมัดระวัง เนื่องจากพบว่ามีการแอบอ้างนวัตกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อชักชวนให้ลงทุนในโครงการที่ผิดกฎหมายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คำเตือนนี้มีขึ้นในขณะที่รัฐบาลจีนกำลังเดินหน้าในการพัฒนาสเตเบิลคอยน์ที่อิงกับเงินหยวนอย่างจริงจัง
ตามรายงานของหน่วยเฉพาะกิจป้องกันการเงินผิดกฎหมายของเซินเจิ้น ระบุว่า ขณะนี้กลุ่มผู้ไม่หวังดีบางรายได้ใช้ชื่อ ‘คริปโทเคอร์เรนซี’ หรือ ‘สินทรัพย์ดิจิทัล’ มาบังหน้า พร้อมโฆษณาว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่อย่างเช่นสเตเบิลคอยน์ เพื่อหลอกลวงประชาชนเข้าร่วมการลงทุน โดยแอบอ้างว่าเป็นสินทรัพย์ที่มี ‘ความผันผวนต่ำและปลอดภัย’ แต่แท้จริงแล้วอยู่ในลักษณะของการระดมทุนผิดกฎหมาย การพนัน ฉ้อโกง แชร์ลูกโซ่ และการฟอกเงิน
แม้ว่าจีนจะสั่งแบนการซื้อขายและขุดคริปโทเคอร์เรนซีไปแล้ว แต่พฤติกรรมผิดกฎหมายเหล่านี้ยังคงพบเห็นได้ ทำให้ทางการต้องออกมาตรการควบคุมเข้มข้นขึ้น พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการให้ความรู้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง *คำสำคัญ* ที่ทางการเตือนคือ ‘การลวงลงทุนโดยอ้างอิงคำอย่าง ระบบการเงินที่เสรี หรือ การสร้างทรัพย์สินดิจิทัล’ ซึ่งมักใช้เป็นกับดักในการชักชวนให้ลงทุนในสิ่งที่ดูดีแต่ไร้ความชัดเจนทางกฎหมาย
ในอีกด้านหนึ่ง โครงการพัฒนา ‘สเตเบิลคอยน์’ ของรัฐบาลจีนซึ่งยึดตามแนวทางสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) ยังคงเดินหน้าต่อไป ท่ามกลางกระแสความเติบโตของสเตเบิลคอยน์ในระดับโลก
ที่เวที *Binance Blockchain Week* ซึ่งจัดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ เจเรมี อัลเลเออร์(Jeremy Allaire) ซีอีโอของ *เซอร์เคิล(Circle)* ออกมาแสดงความมั่นใจว่า สเตเบิลคอยน์มีแนวโน้มถูกยอมรับในระดับโลกเร็วกว่า CBDC โดยมองว่าโครงสร้างแบบกระจายศูนย์และความสามารถในการนำไปใช้งานจริงช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในตลาด
ข้อมูลจาก *DefiLlama* เผยว่า ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา มีเงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดสเตเบิลคอยน์แล้วกว่า 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือประมาณ 69.5 ล้านล้านวอน) ทำให้มูลค่ารวมของตลาดสเตเบิลคอยน์สูงถึง 255,600 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 355.3 ล้านล้านวอน) โดย ‘เทเธอร์(USDT)’ ครองอันดับหนึ่งด้วยมูลค่า 159,400 ล้านดอลลาร์ ส่วน ‘USDC’ ของเซอร์เคิลตามมาเป็นอันดับสองที่ 61,900 ล้านดอลลาร์
ล่าสุด เซอร์เคิลยังได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กภายใต้ชื่อหุ้น *CRCL* โดยมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 45,700 ล้านดอลลาร์ ยิ่งเพิ่มน้ำหนักให้กับความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งรายย่อยและสถาบัน
ในขณะที่ความนิยมของสเตเบิลคอยน์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ระบบกฎหมายก็เริ่มเดินหน้ารองรับเช่นกัน เมื่อไม่นานมานี้ วุฒิสภาสหรัฐได้ผ่าน ‘*กฎหมาย GENIUS*’ ด้วยคะแนนเสียง 68 ต่อ 30 ซึ่งอาจเป็นแรงผลักดันให้หลายองค์กรเข้าร่วมพัฒนาและนำสเตเบิลคอยน์ไปใช้ในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ค้าปลีกยักษ์ใหญ่อย่าง *แอมะซอน* และ *วอลมาร์ต* หรือแม้แต่ธนาคารสหรัฐที่กำลังพิจารณาเปิดตัวโปรเจกต์ร่วมกัน
ความเป็นไปได้ของ *สเตเบิลคอยน์* ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทุกภาคส่วนต้องให้ความสำคัญกับ ‘การคุ้มครองผู้ลงทุน’ มากยิ่งขึ้น บรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างเห็นพ้องว่า ในช่วงเวลาที่ตลาดยังไม่มีการควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จ ข้อมูลที่ถูกต้องและความรอบคอบในการตัดสินใจจึงเป็นกุญแจสำคัญต่อนักลงทุนทุกคน
ความคิดเห็น 0