กระบวนการชำระคืนของ FTX เริ่มต้นเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อคืนเงินให้แก่เจ้าหนี้หลังจากการล่มสลายของแพลตฟอร์ม อย่างไรก็ตาม การคืนเงินดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อตลาดคริปโต โดยเฉพาะบิตคอยน์(BTC) ซึ่งกำลังเผชิญกับแรงกดดันจากการขาย
สำหรับงวดแรกของการชำระคืน FTX ได้จ่ายเงินไปแล้วประมาณ 1.2 พันล้านดอลลาร์(ประมาณ 42,500 ล้านบาท) โดยในจำนวนนี้ 800 ล้านดอลลาร์(ประมาณ 28,300 ล้านบาท) ได้ถูกแจกจ่ายให้กับเจ้าหนี้แล้ว ผู้ถือบัญชีที่ได้รับเงินคืนมีจำนวนทั้งสิ้น 162,000 ราย คิดเป็น 35% ของจำนวนบัญชีที่มีสิทธิ์ โดยเฉพาะเจ้าหนี้ที่มีมูลค่าต่ำกว่า 50,000 ดอลลาร์จะได้รับเงินต้นคืนเต็มจำนวน พร้อมดอกเบี้ยอีก 9% ต่อปี
หนึ่งในเจ้าหนี้ของ FTX นามว่า ‘ซันนิล’ (Sunil) ได้โพสต์ผ่านโซเชียลมีเดียว่า เงินชำระคืนไม่ได้ถูกจ่ายให้เพียงแค่เจ้าของบัญชีเดิมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนักลงทุนที่เข้าซื้อหนี้ FTX ในตลาดรองอีกด้วย สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่ากระบวนการชำระคืนไม่ได้เป็นเพียงการชดเชยเจ้าหนี้เดิม แต่ยังเกี่ยวข้องกับโครงสร้างของตลาดหนี้ที่ใหญ่ขึ้น
ผลกระทบต่อตลาดคริปโตยังเป็นที่ถกเถียง โดยนักวิเคราะห์บางรายมองว่า เงินทุนที่ได้รับคืนอาจถูกนำกลับมาลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล อย่างไรก็ตาม บิตคอยน์(BTC) กลับเผชิญกับแรงขายอย่างหนักในช่วงไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาปรับตัวลดลงจาก 96,730 ดอลลาร์ สู่ระดับ 94,000 ดอลลาร์ ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มระยะสั้น
ด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิค ดัชนี RSI ของบิตคอยน์ล่าสุดอยู่ที่ 31 ซึ่งบ่งชี้ว่าเข้าสู่ ‘ภาวะขายมากเกินไป’ หากบิตคอยน์ไม่สามารถยืนเหนือแนวรับที่ 92,000 ดอลลาร์ อาจมีความเสี่ยงที่จะร่วงลงไปแตะระดับ 89,000 ดอลลาร์
นักวิเคราะห์ชี้ว่า ทิศทางของตลาดในระยะต่อไปขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าหนี้ที่ได้รับเงินคืน แม้ว่าจะมีโอกาสที่เงินทุนจะไหลกลับเข้าสู่ตลาดคริปโต แต่สถานการณ์ที่มีความผันผวนสูงอาจทำให้นักลงทุนบางส่วนเลือกที่จะพักเงินไว้ในสินทรัพย์ที่มีเสถียรภาพมากกว่า
ความคิดเห็น 0