แม้ว่าอีเธอเรียม(ETH)จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของการเงินไร้ศูนย์กลาง (DeFi) และสมาร์ทคอนแทรกต์มาเกือบทศวรรษ แต่ ‘การเข้าถึงสู่คนทั่วไป’ ยังคงเป็นความท้าทายสำคัญที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ แอปพลิเคชันบนเครือข่ายอีเธอเรียมยังคงซับซ้อน แยกส่วน และมีค่าใช้งานสูง ทำให้ผู้ใช้งานทั่วไปเข้าถึงได้ยาก
ในทางกลับกัน โทน(TON)กำลังมุ่งสู่อีกทิศทางหนึ่งอย่างชัดเจน และเริ่มพิสูจน์ ‘ความเป็นไปได้’ ผ่านการใช้งานในเทเลแกรม ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสื่อสารที่มีผู้ใช้มากกว่า 900 ล้านคนทั่วโลก และในเวลานี้นับเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลที่มีการใช้งานจริงในวงกว้างที่สุดในอุตสาหกรรมคริปโต โดยที่บล็อกเชนที่ฝังตัวอยู่บนแพลตฟอร์มนี้มีเพียงโทนเท่านั้น วิธีการของโทนไม่ได้เน้นสร้างแอปพลิเคชัน Web3 แบบดั้งเดิม แต่ ‘นำประสบการณ์ Web3 มาใส่ไว้ในส่วนติดต่อผู้ใช้ที่ผู้คนคุ้นเคย’ อย่างแนบเนียน
โครงการโทนเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2018 ด้วยความพยายามที่จะผสานเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ากับระบบของเทเลแกรม และได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรวมถึงระบบนิเวศอย่างต่อเนื่อง จนในปี 2024 โทนก็สามารถขยายการใช้งานได้อย่างรวดเร็ว โดยเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เมื่อมีการเปิดตัวเทเธอร์(USDT) บนเครือข่ายโทนอย่างเป็นทางการ ทำให้โทนกลายเป็น ‘โครงสร้างสำคัญในระบบบล็อกเชนแบบหลายเครือข่าย’ อย่างแท้จริง
หนึ่งในการพัฒนาเมื่อเดือนมีนาคมคือการอัปเกรดความสามารถของกระเป๋าเงินในเทเลแกรม ทำให้ผู้ใช้มากกว่า 100 ล้านคนสามารถซื้อขายโทเคนและทำการสเตกกิงโทนผ่านเทเลแกรมวอลเล็ตได้โดยตรง นอกจากนี้ยังเพิ่มฟีเจอร์ด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น DNS บนบล็อกเชน, พื้นที่จัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ และเครื่องมือปกป้องความเป็นส่วนตัว ซึ่งสนับสนุนการใช้งานอย่างครบวงจร
ในปัจจุบัน โทนประสบความสำเร็จในการ ‘เชื่อมโลก Web2 สู่ Web3 ด้วยประสบการณ์ที่ไม่ต่างจากบริการทั่วไป’ โดยมีบัญชีผู้ใช้ที่สร้างขึ้นแล้วมากกว่า 150 ล้านบัญชี และเกือบ 2 ล้านธุรกรรมต่อวัน ในขณะที่จำนวนกระเป๋าเงินที่มีการใช้งานต่อเดือนแตะระดับ 2 ล้านบัญชี ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการยอมรับในระดับหนึ่ง แม้จะยังไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็น ‘บล็อกเชนอันดับหนึ่ง’ ก็ตาม
ความแตกต่างสำคัญของโทนคือแนวทางที่ไม่ได้มุ่งขายระบบนิเวศให้กับนักพัฒนา แต่ ‘ซ่อนฟีเจอร์คริปโตไว้หลังประสบการณ์ที่ผู้ใช้งานคุ้นเคย’ ไม่ว่าจะเป็นแชท ช่องรายการ เกม หรือการโอนเงินแบบบุคคลต่อบุคคล(P2P) ผู้ใช้สามารถมีส่วนร่วมกับคริปโตได้โดยไม่รู้สึกว่าต้องเปลี่ยนพฤติกรรม ซึ่งถือเป็น ‘การนิยามบทบาทของคริปโตเสียใหม่’ จากสินทรัพย์เพื่อการเก็งกำไร ไปเป็นเครื่องมือที่ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน
แนวทางนี้ได้รับการมองว่าเป็นความพยายามครั้งใหม่ในการลดความซับซ้อนของ Web3 และขจัดอุปสรรคเดิมๆ ความเปลี่ยนแปลงที่โทนสร้างขึ้นจึงไม่ใช่แค่การปฏิวัติเทคโนโลยี แต่ยังแสดงถึง ‘วิวัฒนาการของวัฒนธรรมการสื่อสารในยุคดิจิทัล’ เลยทีเดียว แนวคิดเรื่อง ‘Web3 ที่ไม่มีคำว่า Crypto’ กำลังเข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้นทุกวัน
ความคิดเห็น 0