ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีกำลังเผชิญกับปัญหาการทำธุรกรรมที่ไม่เป็นธรรมจากบอท 'มูลค่าที่สามารถดึงออกได้สูงสุด (MEV)' ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อให้ได้เปรียบเหนือผู้ใช้งานทั่วไปโดยการดำเนินการซื้อขายล่วงหน้า ส่งผลให้หลักการของ 'การกระจายอำนาจ' และ 'ความเป็นธรรม' ของบล็อกเชนถูกตั้งคำถามมากขึ้น
โลริง ฮาร์คนิส หนึ่งในผู้ร่วมพัฒนา 'ชัตเตอร์เน็ตเวิร์ก' ได้ให้สัมภาษณ์ในพอดแคสต์ ‘The Agenda’ เมื่อวันที่ 14 โดยกล่าวว่าการโจมตีแบบ MEV กำลังบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของตลาดคริปโต นอกจากนี้เขายังระบุว่ากลุ่มนักลงทุนรายใหญ่และบอท MEV กำลังแทรกแซงการลงคะแนนเสียงในองค์กรอัตโนมัติแบบกระจายศูนย์ (DAO) และย้ำว่ามีทางแก้ไขที่ชัดเจนสำหรับปัญหานี้
ชัตเตอร์เน็ตเวิร์กกำลังพัฒนาเทคโนโลยีเข้ารหัสข้อมูลเพื่อปกป้องเนื้อหาของธุรกรรมจนกว่าจะได้รับการบันทึกลงบนบล็อกเชน ลดโอกาสที่ MEV บอทจะสำรวจและใช้ประโยชน์จากลำดับธุรกรรม ฮาร์คนิสอธิบายว่า “เมื่อข้อมูลธุรกรรมถูกเข้ารหัส บอท MEV จะไม่สามารถมองเห็นและดำเนินการแซงหน้าธุรกรรมได้” ทำให้การควบคุมธุรกรรมของบอทใน DeFi เป็นไปได้ยากขึ้น
ปัญหาการโจมตี MEV สร้างผลกระทบมากที่สุดในแพลตฟอร์ม 'การเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi)' โดยเฉพาะบนเครือข่าย 'อีเธอเรียม(ETH)' ซึ่งตั้งแต่กันยายน 2022 ถึงมิถุนายน 2024 มีรายงานว่า MEV บอทสามารถดึงกำไรอย่างน้อย '526,207 ETH' (คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.87 หมื่นล้านบาท) นอกจากนี้ มีกรณีของบอท MEV บนเครือข่าย 'โซลานา(SOL)' ที่ทำกำไรได้สูงถึง '30 ล้านดอลลาร์' (ประมาณ 1.08 พันล้านบาท) ภายในเวลาเพียงสองเดือน
ฮาร์คนิสกล่าวเสริมว่า เขาตระหนักถึงความสำคัญของ 'ความเป็นธรรมทางการเงิน' หลังจากได้เห็นรัฐบาลในเมียนมาสั่งอายัดบัญชีธนาคารของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลระหว่างเหตุการณ์รัฐประหารในปี 2021 “สเตเบิลคอยน์ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือป้องกันความผันผวนของค่าเงิน และการโอนสินทรัพย์แบบออนเชนช่วยให้ผู้ใช้งานหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากรัฐบาล” เขากล่าว
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของชัตเตอร์เน็ตเวิร์กอาจไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันการโจมตี MEV แต่ยังอาจช่วยลดความเสี่ยงจากการอายัดสินทรัพย์โดยภาครัฐอีกด้วย ฮาร์คนิสกล่าวทิ้งท้ายว่า “เป้าหมายหลักคือการให้ผู้ใช้สามารถควบคุมสินทรัพย์ดิจิทัลของตนเองได้อย่างปลอดภัย ยึดหลักการของ 'อธิปไตยทางการเงิน' อย่างแท้จริง”
ความคิดเห็น 0