กระทรวงการคลังสหรัฐฯ กำลังพิจารณานำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้ในมาตรการป้องกันการใช้ *สกุลเงินดิจิทัล* เพื่อกิจกรรมทางการเงินที่ผิดกฎหมาย โดยแนวทางหนึ่งที่ถูกพูดถึงอย่างจริงจังคือ การฝังระบบยืนยันตัวตนลงใน *สมาร์ตคอนแทรกต์* ของ *การเงินแบบกระจายอำนาจ (DeFi)* ซึ่งนับเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่อาจมีผลกระทบวงกว้างต่ออุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล
มาตรการใหม่นี้ได้รับแรงหนุนจาก *กฎหมายเสริมสร้างนวัตกรรมและบูรณาการสเตเบิลคอยน์แห่งชาติ (GENIUS Act)* ที่มีผลบังคับใช้ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการควบคุม *สเตเบิลคอยน์* ในระดับที่กว้างขวางและเข้มข้นยิ่งขึ้น
จากเอกสารแสดงความคิดเห็นที่เพิ่งเผยแพร่เมื่อไม่นานนี้ กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่ากำลังสำรวจการใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น *API*, ปัญญาประดิษฐ์ (AI), เครื่องมือเฝ้าระวังบน *บล็อกเชน* และระบบพิสูจน์ตัวตนดิจิทัล เพื่อจัดการกับการเคลื่อนไหวของเงินผิดกฎหมายในระบบสินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึงเพื่อกำหนดกรอบการกำกับดูแลสำหรับผู้ให้บริการออก *สเตเบิลคอยน์* อย่างเต็มรูปแบบ
สิ่งที่ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษคือแนวทางการ *ฝังระบบตรวจสอบตัวตน (KYC)* และ *การป้องกันการฟอกเงิน (AML)* ไว้ในระดับของสมาร์ตคอนแทรกต์โดยตรง หากแนวคิดนี้ถูกนำไปปฏิบัติจริง จะทำให้กระบวนการยืนยันตัวตนเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติก่อนการทำธุรกรรมในระบบ DeFi ทุกครั้ง นี่ไม่ใช่แค่การใช้เทคโนโลยี แต่เป็นการ *ฝังกลไกกำกับดูแลลงในตัวโค้ดของบล็อกเชน* ซึ่งถือเป็นขั้นตอนที่ล้ำหน้าในระดับโครงสร้าง
*ความคิดเห็น*: การฝังแนวทางกำกับดูแลเช่นนี้อาจกระทบต่อหลักการ ‘ไร้คนกลางและไม่เปิดเผยตัวตน’ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของระบบ DeFi นักวิจารณ์บางฝ่ายจึงแสดงความกังวลว่า การบังคับให้มีการยืนยันตัวตนอาจผลักผู้ใช้ออกไปจากระบบ อย่างไรก็ตาม อีกมุมหนึ่งก็มองว่านี่เป็นโอกาสที่จะทำให้ DeFi เข้าสู่ระบบกฎหมายภายใต้การดูแลอย่างเป็นทางการได้ในระยะยาว
ปัจจุบัน กระบวนการรับฟังความคิดเห็นยังคงเปิดอยู่ผ่านเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาของรัฐบาลกลาง โดยไม่จำกัดเฉพาะผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินหรือเทคโนโลยีเท่านั้น แต่เปิดกว้างให้ประชาชนทั่วไปเข้ามามีส่วนร่วมด้วย กระทรวงการคลังคาดว่าจะใช้ข้อมูลจากกระบวนการนี้ในการร่าง *นโยบายกำกับดูแลสกุลเงินดิจิทัลและสเตเบิลคอยน์* ในอนาคตอันใกล้
ความคิดเห็น 0