วิตาลิก บูเทอริน(Vitalik Buterin) ผู้ร่วมก่อตั้งอีเธอเรียม(ETH) จุดกระแสถกเถียงเกี่ยวกับอนาคตของคนรุ่นใหม่อีกครั้ง หลังออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับบทบาทของปัญญาประดิษฐ์(AI) ที่อาจกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้าง ‘บุคลากรรุ่นใหม่’ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นเยาว์ที่เติบโตมาท่ามกลางเทคโนโลยี
บูเทอรินแสดงความคิดเห็นผ่านโพสต์บนโซเชียลมีเดีย โดยกล่าวว่า "ดุมสก롤ลิ่ง (doomscrolling) มีทั้งข้อดีและข้อเสีย" พร้อมคาดการณ์ว่า "เยาวชนที่ฉลาดที่สุดในอนาคต อาจเป็นคนที่ใช้เวลาทั้งวันตั้งคำถามเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และโลกกับแชตบอท AI ตั้งแต่วัยรุ่น" ซึ่งแสดงให้เห็นถึง *ศักยภาพ* ที่ AI อาจกลายเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ทรงพลังต่อการพัฒนาทางสติปัญญาในกลุ่มเยาวชน
อย่างไรก็ตาม เขาเตือนว่าเทคโนโลยีดังกล่าวสามารถมีผล ‘สองด้าน’ โดยเฉพาะหากเยาวชนเสพเนื้อหาที่ *ขาดสาระ* ผ่าน AI ตลอดทั้งวัน จนอาจกลายเป็นการใช้เวลากับเรื่องไม่ก่อประโยชน์ พร้อมทั้งชี้ให้เห็นว่าการพัฒนา AI ต้องคำนึงถึงทั้ง *โอกาส* และ *ความเสี่ยง* ควบคู่กันไป
ความคิดเห็นของบูเทอรินสะท้อนถึงอิทธิพลแห่งยุค AI ที่เริ่มเปลี่ยนแปลงแนวทางการเรียนรู้และพฤติกรรมของเยาวชน ‘ดิจิทัลเนทีฟ’ ทั้งในด้านการศึกษา การเติบโตทางความคิด และการมองโลก โดยชี้ว่า วิธีที่เยาวชนเข้าถึง ปฏิสัมพันธ์ และใช้งาน AI อาจเป็นตัวกำหนด *ภูมิทัศน์บุคลากร* ของสังคมในอนาคต
ในวันเดียวกัน นัสซิม นิโคลัส ทาเล็บ(Nassim Nicholas Taleb) ผู้เขียนหนังสือชื่อดังอย่าง ‘The Black Swan’ ก็ออกมาแสดงทัศนะเกี่ยวกับ AI เช่นกัน โดยชี้ว่า แม้เทคโนโลยีดังกล่าว ‘ยังไม่สามารถแทนที่แพทย์ได้’ แต่ก็มีศักยภาพสูงพอจะ ‘ปั่นป่วน’ วงการแพทย์ รวมถึงการศึกษาแพทย์ทั่วโลก ทาเล็บเน้นว่า AI เปิดโอกาสให้ ‘ผู้เรียนด้วยตนเอง’ เข้าถึงแหล่งความรู้ระดับสูงได้ง่ายขึ้น ซึ่งอาจช่วยลดช่องว่างทางการศึกษาในระยะยาว
การที่ทั้งบูเทอรินและทาเล็บออกมาแสดงความเห็นในช่วงเวลาเดียวกัน บ่งชี้ว่า บรรดาผู้นำในแวดวงเทคโนโลยีและวิชาการทั่วโลกเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลและจริยธรรมของ AI อย่างจริงจัง คำถามสำคัญคือ เยาวชนจะใช้ AI เพื่อ ‘เติบโตทางปัญญา’ หรือหลงไปกับการบริโภคเนื้อหาไร้สาระ สิ่งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของแต่ละบุคคล แต่สะท้อนถึงความรับผิดชอบของ *สังคมในการออกแบบและใช้งานเทคโนโลยี* อย่างมีวิจารณญาณ
ความคิดเห็น 0