ประธานาธิบดีทรัมป์ย้ำถึงความมุ่งมั่นที่จะทำให้สหรัฐฯ กลายเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมคริปโตระดับโลกอีกครั้ง ในงานประชุม Future Investment Initiative (FII) ที่ไมอามี เขายืนยันว่าสหรัฐฯ ควรเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้ พร้อมให้คำมั่นว่าจะผ่อนปรนกฎระเบียบเพื่อกระตุ้นตลาด
ทรัมป์ยังกล่าวถึงการทำจุดสูงสุดใหม่ของบิตคอยน์(BTC) ว่าเป็น ‘หลักฐานว่าตลาดให้ความไว้วางใจในนโยบายของเขา’ อีกทั้งยังเปิดเผยว่าสหรัฐฯ อาจพิจารณานำบิตคอยน์เข้าสู่พอร์ตสินทรัพย์ของประเทศ ซึ่งทำให้ราคาบิตคอยน์พุ่งจาก 96,000 ดอลลาร์ไปแตะ 98,450 ดอลลาร์ในทันที
ไมเคิล เซย์เลอร์ ประธานไมโครสเตรทจี(MSTR) สนับสนุนแนวคิดดังกล่าว โดยเขาระบุว่าสหรัฐฯ ควรถือครองบิตคอยน์อย่างน้อย 20% ของอุปทานทั้งหมด หากต้องการรักษาความเป็นมหาอำนาจทางการเงิน เขาชี้ให้เห็นว่าคุณค่าของบิตคอยน์ในฐานะ ‘ทองคำดิจิทัล’ นั้นมีความมั่นคงระยะยาว เนื่องจากมีจำนวนจำกัด
ในขณะเดียวกัน สภาคองเกรสของสหรัฐฯ กำลังเดินหน้าผ่อนปรนข้อบังคับเกี่ยวกับคริปโตอย่างจริงจัง คริสติน สมิธ ประธานสมาคมบล็อกเชนเปิดเผยว่า กฎระเบียบที่ขัดขวางการยอมรับคริปโตกำลังถูกยกเลิก พร้อมยกตัวอย่างการยกเลิกกฎ SAB 121 ซึ่งเคยเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับสถาบันการลงทุน นอกจากนี้ คาดว่าจะมีการกำหนดแนวทางที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับสเตเบิลคอยน์และโครงสร้างตลาด ซึ่งอาจกระตุ้นให้มีเงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดมากขึ้น
นอกเหนือจากบิตคอยน์ นักลงทุนยังให้ความสนใจกับกองทุน ETF ที่อิงกับอีเธอเรียม(ETH) และ XRP โดยแมตต์ ฮูแกน จากบิตไวส์(Bitwise) ระบุว่าการอนุมัติ ETF ของอีเธอเรียมจะเป็นตัวขับเคลื่อนเชิงบวกให้กับตลาดโดยรวม ขณะที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ(SEC) กำลังพิจารณาอนุมัติ ETF สำหรับ XRP และโซลานา(SOL) ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าสินทรัพย์ดิจิทัลกำลังเข้าสู่กระแสหลักของระบบการเงิน
แม้ว่านโยบายคริปโตของทรัมป์อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาด แต่ยังต้องจับตาดูว่าขั้นตอนการดำเนินงานจะเป็นไปตามที่ประกาศไว้หรือไม่ หากไม่มีการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม ความคาดหวังที่เกิดขึ้นอาจกลายเป็นปัจจัยกระตุ้นความผันผวนในระยะสั้นแทน
ความคิดเห็น 0