การแฮ็กแลกเปลี่ยนคริปโตยังคงเป็นประเด็นร้อนเมื่อ ไบบิท(Bybit) ถูกโจมตี ส่งผลให้สินทรัพย์ดิจิทัลมูลค่ากว่า 1.4 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 50,400 ล้านบาท) ถูกขโมยไป
ตามรายงานจากบริษัทความปลอดภัยบล็อกเชน Cyvers การโจมตีครั้งนี้มีความคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ก่อนหน้า เช่น การแฮ็กของ วาซีร์เอ็กซ์(WazirX) ที่ก่อให้เกิดความเสียหายมูลค่า 230 ล้านดอลลาร์ และ เรเดียนต์ แคปิตอล(Radiant Capital) ที่ถูกขโมยไป 58 ล้านดอลลาร์
ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการแฮ็กครั้งนี้มีความเกี่ยวข้องกับ ‘กลุ่มลาซารัส’ กลุ่มแฮ็กเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเกาหลีเหนือ นักวิเคราะห์ข้อมูลออนไลน์อย่าง แซคเอ็กซ์บีที(ZachXBT) และ อาคาม อินเทลลิเจนซ์(Arkham Intelligence) ระบุว่ามีหลักฐานหลายอย่างที่สอดคล้องกับรูปแบบการโจมตีของลาซารัส
อาคามยังได้ประกาศให้รางวัลเป็นโทเคน อาคาม(ARKM) จำนวน 50,000 โทเคน (มูลค่าประมาณ 31,500 ดอลลาร์) สำหรับผู้ที่สามารถให้ข้อมูลนำไปสู่การจับกุมผู้กระทำผิด
ลูเซียง บูร์ดง(Lucien Bourdon) นักวิเคราะห์ด้านความปลอดภัยจาก เทรเซอร์(Trezor) ให้ความเห็นว่า "กรณีนี้แสดงให้เห็นว่าแม้แต่แพลตฟอร์มที่มีระบบรักษาความปลอดภัยเข้มงวดก็ยังสามารถถูกแฮ็กได้จากความผิดพลาดของมนุษย์" เขาชี้ว่าแฮ็กเกอร์ได้ใช้ ‘วิศวกรรมสังคม’ (social engineering) เพื่อหลอกผู้มีอำนาจลงนามในแพลตฟอร์มให้อนุมัติธุรกรรมที่เป็นอันตราย
เหตุการณ์นี้ถือเป็นการแฮ็กที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดคริปโต โดยมูลค่าความเสียหายสูงกว่าสองเท่าของการแฮ็ก โพลี เน็ตเวิร์ก(Poly Network) ในปี 2021 ที่ทำให้สูญเสียไป 600 ล้านดอลลาร์
ผู้เชี่ยวชาญมองว่าการนำเทคโนโลยี ‘การตรวจสอบธุรกรรมแบบออฟเชน’ (offchain transaction validation) มาใช้ อาจช่วยลดความเสี่ยงลงได้ เทคโนโลยีนี้สามารถจำลองและตรวจสอบธุรกรรมล่วงหน้าเพื่อลดโอกาสแฮ็กและการฉ้อโกงได้ถึง 99% ตามที่ ไมเคิล เพิร์ล(Michael Pearl) รองประธานของ Cyvers กล่าว
ในปี 2024 เพียงปีเดียว ยอดความเสียหายจากการแฮ็กในตลาดคริปโตทะลุ 2.3 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 76,560 ล้านบาท) สะท้อนให้เห็นว่าความปลอดภัยของอุตสาหกรรมยังคงต้องได้รับการพัฒนาและเพิ่มมาตรการป้องกันอย่างเร่งด่วน
ความคิดเห็น 0