บิตคอยน์(BTC)เป็นอีกครั้งที่ตกเป็นศูนย์กลางของประเด็นร้อน หลังจาก ‘ไบบิท(Bybit)’ แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตถูกแฮก ส่งผลให้มีการโอนออกของอีเธอเรียม(ETH)กว่า 400,000 เหรียญ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาท เหตุการณ์นี้ได้จุดประเด็นอภิปรายถึงแนวทางในการรับมือของเครือข่ายอีเธอเรียม และทำให้ตลาดเกิดความกังวล
ทันทีที่ข่าวการแฮกนี้ถูกเปิดเผย ราคาของอีเธอเรียมร่วงลงมากกว่า 5% ลงมาแตะระดับ 2,700 ดอลลาร์ นักวิเคราะห์ด้านความปลอดภัยคาดการณ์ว่าการโจมตีครั้งนี้อาจเกี่ยวข้องกับกลุ่มแฮกเกอร์จากเกาหลีเหนือ ซึ่งนำไปสู่ข้อเสนอว่าเครือข่ายควรใช้มาตรการย้อนกลับธุรกรรม (rollback) คล้ายกับที่เคยเกิดขึ้นในกรณี ‘DAO Hack’ เมื่อปี 2016
อาเธอร์ เฮย์ส(Arthur Hayes) ผู้ร่วมก่อตั้ง ‘บิตเม็กซ์’ ออกมาเรียกร้องให้ วิตาลิก บูเตริน(Vitalik Buterin) และ ‘มูลนิธิอีเธอเรียม’ พิจารณามาตรการนี้ โดยให้เหตุผลว่า “ในอดีตอีเธอเรียมเคยใช้ rollback เพื่อแก้ปัญหาครั้งใหญ่ ดังนั้นครั้งนี้ก็ไม่ควรมีข้อยกเว้น”
อย่างไรก็ตาม การใช้มาตรการนี้ถูกโต้แย้งอย่างหนัก เนื่องจากขัดแย้งกับหลักการ ‘ความไม่เปลี่ยนแปลงของบล็อกเชน’ (immutability) ฝ่ายที่คัดค้าน รวมถึงกลุ่มผู้สนับสนุนบิตคอยน์ มองว่าหากอีเธอเรียมใช้มาตรการ rollback อีกครั้ง จะกลายเป็นหลักฐานสำคัญในการตอกย้ำว่าระบบยังคงมีความเป็น ‘ศูนย์กลาง’ และควบคุมได้
จัสติน เบคลอร์(Justin Bechler) นักวิเคราะห์ตลาดคริปโต ให้ความเห็นว่า “หากอีเธอเรียมดำเนินการ rollback จะทำให้ถูกวิจารณ์เรื่องการรวมศูนย์ แต่ถ้าปล่อยผ่าน กรณีนี้อาจถูกใช้เป็นข้ออ้างในการเพิ่มแรงกดดันด้านกฎระเบียบ โดยเฉพาะในเรื่องการฟอกเงินและการสนับสนุนกลุ่มผิดกฎหมาย”
ในขณะที่อีเธอเรียมกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก หน่วยงานกำกับดูแลระดับโลกก็เริ่มให้ความสนใจกับเหตุการณ์นี้ หากแฮกครั้งนี้ถูกเชื่อมโยงไปถึงเกาหลีเหนือจริง อาจนำไปสู่มาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมจากทางการสหรัฐฯ
การตัดสินใจของมูลนิธิอีเธอเรียมและนักพัฒนาหลักจะส่งผลกระทบที่สำคัญต่อตลาดคริปโต ความเคลื่อนไหวต่อจากนี้จะเป็นสิ่งที่นักลงทุนและผู้เกี่ยวข้องทั่วโลกจับตามองอย่างใกล้ชิด
ความคิดเห็น 0