ราคาอีเธอเรียม(ETH) กลับมาพุ่งขึ้นอีกครั้ง โดยเมื่อวันที่ 23 ราคาพุ่งขึ้น 5.8% ภายใน 24 ชั่วโมง ทะลุระดับ 2,830 ดอลลาร์ การเพิ่มขึ้นครั้งนี้ช่วยฟื้นตัวจากความเสียหายที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์แฮ็กไบท์บิท(Bybit) ปัจจัยหลักที่หนุนราคามาจากความเชื่อมั่นที่กลับมาหลังจากไบท์บิทสามารถฟื้นอีเธอเรียมที่ถือครองได้ การคลี่คลายประเด็นข้อถกเถียงเกี่ยวกับการย้อนสถานะธุรกรรมของเครือข่าย และแรงซื้อจากนักลงทุนรายใหญ่
ไบท์บิทต้องเผชิญกับการถูกแฮ็กมูลค่าประมาณ 1.96 ล้านล้านวอน แต่สามารถจัดการฟื้นฟูโดยการซื้อคืนอีเธอเรียม 106,498 ETH (มูลค่าประมาณ 2.95 แสนล้านวอน) ผ่านธุรกรรม OTC พร้อมได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมจากไบแนนซ์และบิทเก็ต ส่งผลให้สามารถรักษาสภาพคล่องได้ นอกจากนี้ การตรวจสอบจากหน่วยงานอิสระยังช่วยยืนยันเสถียรภาพทางการเงินและเสริมสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ขณะเดียวกัน ทีม เบย์โก(Tim Beiko) นักพัฒนาหลักของอีเธอเรียมได้ปฏิเสธแนวคิดการย้อนสถานะธุรกรรม (Rollback) โดยระบุว่าเป็นเรื่องที่ ‘เป็นไปไม่ได้’ เขาชี้แจงว่า ในกรณีนี้แตกต่างจากเหตุการณ์แฮ็ก DAO ปี 2016 ที่เป็นข้อผิดพลาดของสมาร์ตคอนแทร็กต์เอง แต่เหตุการณ์ล่าสุดเกิดขึ้นจากความอ่อนแอของแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน ทำให้การย้อนธุรกรรมไม่มีความเหมาะสมทั้งในเชิงเทคนิคและเชิงปฏิบัติ
ในเวลาเดียวกัน นักลงทุนรายใหญ่ของ ETH ได้เข้าซื้อเพิ่มกว่า 140 ล้านดอลลาร์ (ราว 2 แสนล้านวอน) หลังเกิดเหตุแฮ็ก ซึ่งเป็นสัญญาณของความเชื่อมั่นในตลาด การลดลงของอุปทาน ETH อาจช่วยผลักดันราคาให้สูงขึ้น นอกจากนี้ การที่ราคากลับสู่แนวโน้มขาขึ้นในระยะยาวยังเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
นักเทรดคาดการณ์ว่าหาก ETH สามารถทะลุแนวต้าน 2,800-2,850 ดอลลาร์ไปได้ อาจทำให้ราคาขึ้นไปแตะระดับ 2,965 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นแนวเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน แต่หากไม่สามารถฝ่าผ่านแนวต้านนี้ได้ ก็มีโอกาสกลับลงไปทดสอบแนวรับที่ 2,650-2,700 ดอลลาร์ ทั้งนี้ นักลงทุนยังจับตามองว่าการพุ่งขึ้นรอบนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของตลาดกระทิงระยะยาวหรือไม่
ความคิดเห็น 0