สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (SEC) ได้ประกาศความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในนโยบายเกี่ยวกับการดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล โดยขยายสิทธิ์การเป็นผู้ดูแลสกุลเงินดิจิทัลไปยังบริษัททรัสต์ที่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลท้องถิ่น ซึ่งก่อนหน้านี้สิทธิ์ดังกล่าวจำกัดอยู่เฉพาะธนาคารที่ได้รับอนุญาตในระดับรัฐบาลกลางเท่านั้น การเคลื่อนไหวครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นความพยายามในการวางรากฐานด้านกฎหมายเพื่อส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมคริปโตในสหรัฐฯ และเปิดทางเลือกใหม่ในการจัดเก็บสินทรัพย์แก่นักลงทุนและผู้ให้คำปรึกษาด้านการลงทุน
ตามรายงานเมื่อวันที่ 24 (เวลาท้องถิ่น) SEC ระบุว่า ได้ออกจดหมาย ‘ไม่ดำเนินการทางกฎหมาย (no-action letter)’ ที่จะยอมรับบริษัททรัสต์ที่ผ่านเกณฑ์กำหนดให้ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลได้ภายใต้เงื่อนไขที่ชัดเจน ได้แก่ การมีการตรวจสอบประจำปี, การจัดทำสัญญาการดูแลสินทรัพย์อย่างเป็นทางการ, การเปิดเผยความเสี่ยงแก่ผู้ลงทุน และการยึดผลประโยชน์ของนักลงทุนเป็นสำคัญ หากปฏิบัติตามได้ครบ ผู้ให้บริการก็สามารถดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลได้โดยไม่มีความเสี่ยงทางกฎหมาย
ไบรอัน เดลีย์(Brian Daly) ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารจัดการการลงทุนของ SEC ให้ความเห็นว่า “แนวทางใหม่นี้เป็นการสร้างความชัดเจนให้กับอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล โดยอิงตามพัฒนาการของตลาดและนวัตกรรมทางการเงินที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน”
การขยายขอบเขตดังกล่าว ส่งผลให้บริษัทอย่าง คอยน์เบส(Coinbase), ริปเปิล(XRP), สแตนดาร์ด คัสโตดี้(Standard Custody), บิตโก(BitGo) และวิซดอมทรี(WisdomTree) มีโอกาสได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการในฐานะสถาบันดูแลสินทรัพย์ภายในประเทศ เช่นเดียวกับ เจมินี(Gemini) ซึ่งเป็นบริษัททรัสต์ที่กำลังส่งสัญญาณว่าพร้อมเป็นทางเลือกในการดูแลและจัดการสินทรัพย์คริปโตให้กับนักลงทุนรายใหญ่และกองทุน
นโยบายใหม่นี้สอดคล้องกับ ‘โครงการคริปโต(Project Crypto)’ ที่ SEC ได้เปิดตัวเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อลดข้อจำกัดด้านกฎเกณฑ์และเร่งให้เกิดการบูรณาการสินทรัพย์ดิจิทัลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่ได้ปราศจากเสียงคัดค้าน แคโรไลน์ เครนชอว์(Caroline Crenshaw) กรรมาธิการของ SEC วิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงว่ามาตรการใหม่นี้อาจ *บั่นทอนการคุ้มครองนักลงทุน* โดยกล่าวว่า “มันเปิดช่องโหว่ให้กับระบบการดูแลสินทรัพย์ และอาจทำให้นักลงทุนเสี่ยงต่อการสูญเสียทรัพย์สินโดยไม่มีการวิเคราะห์เชิงกฎหมายที่เพียงพอ” พร้อมเตือนว่าการยกเว้นกฎกับสินทรัพย์ดิจิทัลอาจทำลายความเชื่อมั่นในระบบกฎหมาย
ความเห็นที่แตกต่างกันภายใน SEC ทำให้การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้น่าจับตามองว่า จะสร้างผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอย่างไรในระยะยาว ‘คำสำคัญ’ อย่าง *การผ่อนคลายกฎระเบียบ* อาจช่วยกระตุ้นตลาดให้เติบโต ขณะเดียวกันก็เปิดประเด็นให้มีการทบทวนว่า ความสมดุลระหว่าง ‘โอกาสทางการเงิน’ และ ‘ความเชื่อมั่นของนักลงทุน’ ควรดำเนินควบคู่กันอย่างไร
ความคิดเห็น 0