แม้ ‘การเงินแบบไร้ตัวกลาง’ หรือ DeFi จะเริ่มกลับมาเป็นที่น่าจับตามองอีกครั้งในตลาดการเงินโลก แต่อุตสาหกรรมนี้ยังคงห่างไกลจากขนาดมหึมาของสินทรัพย์การเงินแบบดั้งเดิมมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ สาเหตุที่หลายฝ่ายอ้างถึงคือข้อจำกัดด้าน ‘การขยายตัว’, ‘ข้อกำกับดูแล’ และ ‘ประสบการณ์ผู้ใช้(UX)’ แต่แท้จริงแล้ว ‘การขาดความเป็นส่วนตัว’ คือ *อุปสรรคสำคัญที่สุด* ที่ขวางไม่ให้ DeFi เติบโตอย่างเต็มศักยภาพ
DeFi เคยสัมผัสจุดสูงสุดของมูลค่ารวมที่ถูกล็อกไว้ (TVL) ที่ราว 2.6 แสนล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 361.4 ล้านล้านวอน ณ เดือนธันวาคม 2021 เมื่อเทียบกับตลาดฟอเร็กซ์ที่มีมูลค่าการซื้อขายรายวันกว่า 7.5 ล้านล้านดอลลาร์ และตลาดพันธบัตรโลกที่มีขนาดประมาณ 130 ล้านล้านดอลลาร์ จะเห็นว่า DeFi ยังคงอยู่ในช่วงต้นทางของการเติบโตเท่านั้น แม้จะมีศักยภาพในการขยายตัว แต่ ‘ความโปร่งใสมากเกินไป’ ที่ขาด *ความลับในการทำธุรกรรม* กลับกลายเป็นจุดที่ขัดกับความต้องการของ *นักลงทุนสถาบันและผู้มีสินทรัพย์สูง* ซึ่งย่อมไม่ต้องการให้ทุกการเคลื่อนไหวทางการเงินของตนเปิดเผยต่อสาธารณะ
หนึ่งในเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความสนใจในฐานะแนวทางแก้ไขปัญหานี้คือ ‘ระบบเข้ารหัสแบบ Fully Homomorphic Encryption (FHE)’ ซึ่งอนุญาตให้ทำการประมวลผลข้อมูลขณะยังอยู่ในรูปแบบที่ถูกเข้ารหัส กล่าวง่าย ๆ คือ ข้อมูลจะยังคงเป็นความลับตลอดกระบวนการใช้งานจริง
หากนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในระบบ DeFi ก็จะทำให้การตรวจสอบคุณสมบัติ เช่น การประเมินเครดิต หรือ KYC เป็นไปได้โดยไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลจริง เช่น ผู้ใช้อาจยืนยันได้ว่า “มีคะแนนเครดิตเกิน 700 หรือไม่” โดยไม่ต้องเผยหมายเลขจริง หากผ่านเกณฑ์ก็สามารถขอสินเชื่อได้โดยไม่ต้องวางหลักประกัน และหากเกิดข้อพิพาท ข้อมูลที่เกี่ยวข้องก็สามารถเปิดเพื่อดำเนินคดีในระบบออฟเชนได้ นี่อาจเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดตลาด *สินเชื่อแบบไร้หลักประกัน* ที่ DeFi ยังเข้าไม่ถึง
ในระบบการเงินดั้งเดิม สินเชื่อไร้หลักประกันถือเป็นเรื่องปกติ แต่กับ DeFi การรับความเสี่ยงดังกล่าวแทบเป็นไปไม่ได้หากไม่มีข้อมูลที่ตรวจสอบได้และกลไกการรักษาความปลอดภัยระดับสูง อย่างไรก็ตาม หาก FHE สามารถเข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้ ก็อาจนำไปสู่การ *ออกแบบโครงสร้าง DeFi ใหม่ทั้งหมด* เช่น การสร้างโทเคน ERC-20 ที่เน้นเรื่องความเป็นส่วนตัว, การใช้ข้อมูลเครดิตที่ถูกเข้ารหัส, การป้องกัน MEV (Minimal Extractable Value) และอื่น ๆ อีกมาก ซึ่งในภาพรวมอาจนำมาสู่ *โครงสร้างพื้นฐานการเงินแบบใหม่*
ผู้ใช้งานทั่วไปก็จะสามารถเข้าถึงสินเชื่อไร้หลักประกันได้ ขณะเดียวกัน ความเสี่ยงจากการถูกสอดแนมหรือโดนบอท MEV ก็จะลดลง สำหรับสถาบัน พวกเขาจะสามารถเข้าร่วมในระบบการเงินแบบออนเชนได้โดยไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลลูกค้า ซึ่งเป็นการปูทางให้ DeFi เชื่อมต่อกับระบบ *การเงินแบบมีการกำกับดูแล* อย่างแท้จริง
ข้อดีของบล็อกเชนสาธารณะไม่ว่าจะเป็นความเปิดกว้างหรือการเชื่อมโยงข้ามแพลตฟอร์ม ยังคงอยู่ แต่ปรับให้มีระดับ ‘การรักษาความลับ’ ที่ใกล้เคียงกับบล็อกเชนแบบส่วนตัวมากขึ้น เท่ากับว่า FHE กำลังเปิดโอกาสให้บล็อกเชนสาธารณะสามารถตอบสนองความต้องการด้านความลับของผู้ใช้ระดับสถาบันได้อย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายทางเทคโนโลยีก็ยังคงมีอยู่จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการจัดการสินทรัพย์ที่ต้องถูกชำระบัญชี(liquidation), การสร้างระบบเครดิตที่ถูกเข้ารหัส, การปฏิบัติตามกฎหมาย, ระบบรักษาความปลอดภัยจาก MEV, กลไกจับคู่อัตโนมัติด้านสภาพคล่อง, อินเทอร์เฟซกระเป๋าเงินที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้ ไปจนถึง Oracle ที่รองรับ FHE ทั้งหมดล้วนเป็น *โจทย์ที่ยังต้องวิจัยต่อ*
แต่ด้วยอัตราการพัฒนา FHE ที่ก้าวกระโดด ก็เริ่มมีความเป็นไปได้ว่า ทุกชิ้นส่วนของระบบเหล่านี้จะสามารถต่อเข้าหากันได้ในไม่ช้า เปิดทางให้เงินทุนหลายพันล้านดอลลาร์จากโลกการเงินแบบดั้งเดิม ไหลเข้าสู่ระบบ DeFi ได้อย่างมั่นคง ไม่แน่ว่าในอนาคตอันใกล้ เราอาจได้เห็นบริการ ‘สินเชื่อตามเงื่อนไของค์กรที่มาพร้อม *ความเป็นส่วนตัวระดับธนาคารสวิส*’ บน *บล็อกเชนสาธารณะ* จริง ๆ ก็เป็นได้.
ความคิดเห็น 0